การอบรมปัญญาเป็นเรื่องสำคัญในการอบรมจิต
ท่านอาจารย์ มีท่านผู้ฟังมีข้อสงสัยอะไรบ้างไหม คะ เชิญคะ
ผู้ฟัง น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ที่อาจารย์ได้กล่าวว่า การที่จะเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา ก่อนที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น ต้องมีปัญญารู้ ลักษณะของสติ ว่าเวลามีสติ ต่างกับเวลาหลงลืมสติอย่างไร ถึงจะเจริญวิปัสสนาได้ ถ้าไม่รู้ลักษณะของสติว่า เวลามีสติต่างกับเวลาหลงลืมสติแล้ว จะเจริญวิปัสสนาไม่ได้ แล้วในการเจริญสมถภาวนา อาจารย์ก็ได้กล่าวว่า ก่อนที่จะเจริญสมถภาวนานั้น ต้องรู้จักลักษณะของความสงบ ถ้าผู้ใดไม่รู้จักลักษณะของความสงบแล้ว ผู้นั้นจะเจริญสมถภาวนาไม่ได้ อันนี้เป็นน่าอัศจรรย์ที่กระผมยังไม่เคยได้ยิน แล้วผมคิดว่าความเป็นจริง มันก็เป็นอย่างนั้น ตามที่อาจารย์ได้กล่าวนั้น ที่ผมเข้าใจ แล้วก็ผมรู้จักทั่วๆ ไป คนที่จะเจริญวิปัสสนาก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี มักจะ ก่อนที่จะเจริญภาวนาทั้ง ๒ ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้จักอะไร มาก่อนทั้งนั้น
ท่านอาจารย์ แล้วส่วนมาก ท่านที่ต้องการผลเร็ว นี่คะ แล้วท่านที่ต้องการที่จะได้ทุกอย่างมาโดยง่าย ก็มักจะพอใจในข้อปฏิบัติที่ไม่ต้องรู้อะไร ใช่ไหมคะ เพียงแต่ว่า ทำอย่างไร ก็ทำกันไป แต่ว่าไม่มีปัญญาที่จะรู้ลักษณะสภาพของจิต และความสงบ ซึ่งเรื่องของปัญญา นี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในการที่จะอบรม จิต ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้ว่าจิตขณะนี้เป็นอย่างไร เป็นกุศลหรืออกุศลอย่างไร แล้วละก็ อบรมจิตไม่ได้ มีแต่ความต้องการ คะ เช่นการที่จะเข้าใจว่าจะเจริญสมถะ โดยการที่กราบพระ แล้วก็กล่าวคาถาเป็นภาษาบาลี ขณะนั้น ปัญญาอยู่ที่ไหนคะ ปัญญารู้อะไร ขณะที่กำลังกล่าวอย่างนั้น ก็ตาม หรือกำลังนั่งในลักษณะสบายๆ อย่าง ๑ อย่างใดก็ตาม ขณะนั้นปัญญาอยู่ที่ ไหน ที่จะรู้สภาพของจิตที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้นว่า สงบหรือไม่สงบ เพราะอะไร อย่างไร ธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุมีปัจจัย ที่จิตจะสงบได้ ต้องมีเหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็สงบ ใช่ไหมคะ แล้วเวลาที่จิตสงบในขณะนั้น ปราศจากความต้องการโลภะ โทสะ โมหะ และปัญญาก็จะต้องรู้ในลักษณะของจิตในขณะนั้นจริงๆ ว่าเป็นสภาพที่ผ่องใส สะอาดปราศจากอกุศลในขณะนั้น เพราะอะไร เหตุสำคัญที่สุดที่ผล จะเป็นไปอย่างที่ต้องการได้ ไม่ใช่ว่า การเจริญสมถะนั้น จะกระทำได้ด้วยการท่องคาถาภาษาบาลี แล้วก็จิตจะสงบ เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าปัญญาไม่เกิดรู้ลักษณะของจิตในขณะนั้น