พกพรหมชาดกที่ ๑๐
ข้อความใน อรรถกถา พกพรหมชาดกที่ ๑๐ มีว่า
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพกพรหมแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ ว่าดังนี้
ท่านพกพรหมเกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ว่า สิ่งนี้เที่ยง ยั่งยืน สืบเนื่องๆ กันไป ไม่มีการเคลื่อนธรรมดา สิ่งอื่นนอกจากนี้ที่ชื่อว่าพระนิพพานเป็นที่ออกไปของสัตว์โลก ไม่มี
พระพรหมองค์นี้ เมื่อก่อนบำเพ็ญฌานมาแล้ว จึงมาเกิดในชั้นเวหัปผลา ท่านให้อายุประมาณ ๕๐๐ กัปสิ้นไปในชั้นเวหัปผลานั้นแล้ว จึงเกิดในชั้นสุภกิณหา สิ้นไป ๖๔ กัป แล้วจุติจากชั้นนั้น จึงไปเกิดในชั้นอาภัสรามีอายุ ๘ กัป ในชั้น อาภัสรานั้น ท่านได้เกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้
มีความเห็นผิด เพราะว่าในพรหมโลกเวลานาน ไม่มีใครตายให้ปรากฏ อย่างรวดเร็ว หรือจากไปอย่างรวดเร็วเลย เพราะฉะนั้น พกพรหมซึ่งเคยเป็น เกสวดาบสก็มีความเห็นผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความคิดของพกพรหมนั้นด้วยเจโตปริยญาณแล้ว จึงทรงหายพระองค์ไปจากพระเชตวันมหาวิหาร ปรากฏพระองค์บนพรหมโลก อุปมาดุจคนมีกำลังแข็งแรงเหยียดแขนออกไปแล้ว คู้แขนที่เหยียดออกไปแล้ว เข้ามา ฉะนั้น
ครั้งนั้น พระพรหมเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลว่า มาเถิดท่านสหาย ท่านมาดีแล้วท่านสหาย นานนักท่านสหาย ท่านจึงจะได้ทำปริยายนี้คือการมาที่นี้ เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่เที่ยง เป็นสถานที่ยั่งยืน เป็นสถานที่สืบเนื่องกันไป เป็นสถานที่ที่ไม่มีการเคลื่อนเป็นธรรมดา เป็นสถานที่มั่นคง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แต่ว่าสถานที่อื่นที่ชื่อว่าเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่านี้ ไม่มี
เมื่อพกพรหมทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้กะพกพรหมว่า
พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ เพราะได้พูดถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่าเป็น ของเที่ยง และได้พูดถึงธรรมที่สงบอย่างอื่นว่าเป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์ อันยิ่งยวด ไม่มีธรรมอื่นที่เป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่า
เมื่อพระพรหมได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้วคิดว่า ไม่เพียงท่านผู้เดียวเท่านั้นที่ คิดอย่างนี้ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า
ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี ๗๒ คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มีอำนาจ แผ่ไปล่วงความเกิดและความแก่ไปได้ การเกิดเป็นพรหมนี้เป็นอันติมชาติ ชาติสุดท้าย จบไตรเพทแล้ว คนจำนวนมากเอ่ยถึงพวกข้าพระองค์
จริงไหม หลายคนก็พูดถึงแต่พระพรหม พระพรหม พระพรหมทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พระพรหมก็มีความคิดเห็นว่า เป็นใหญ่ที่สุด และเป็นชาติสุดท้ายแล้ว
พระศาสดาครั้นทรงสดับถ้อยคำของพกพรหมนั้นแล้ว จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า
ดูก่อนพรหม ความจริงอายุของท่านนี้น้อย ไม่มากเลย แต่ท่านสำคัญว่า อายุของท่านมาก จำนวนแสนนิรัพพุทะ ดูก่อนพรหม เราตถาคตรู้อายุของท่าน
นิรัพพุทะนี่ก็สุดที่จะนับ ถ้าท่านผู้ฟังท่านใดสนใจใคร่จะรู้ว่ามากมายสักเท่าไร จะนับกัน ข้อความใน อรรถกถา พกพรหมชาดก ก็ได้แสดงจำนวนไว้ ซึ่งจะไม่ ขอกล่าวถึงในที่นี้
พกพรหมได้สดับพระพุทธพจน์นั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด สัพพัญญูก้าวล่วงชาติชราและความโศกแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกการสมาทานพรต ศีลและวัตรจรณะของข้าพระองค์แต่ก่อนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งข้าพระองค์ควรจะทราบ
คือ ถ้าเป็นพระสัพพัญญู เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง จะต้องรู้อดีตทั้งหมดของพกพรหม เพราะฉะนั้น พกพรหมก็ขอให้พระผู้มีพระภาคตรัสถึงศีลพรตของท่านในกาลก่อน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงนำเรื่องอดีตทั้งหลายมาตรัสบอก แก่พกพรหม จึงได้ตรัสคาถา ๔ คาถาว่า
ท่านได้ช่วยมนุษย์จำนวนมากผู้เดือดร้อนปางตาย กระหายน้ำจัด ให้ได้ ดื่มน้ำอันใดไว้ เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านอันนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้นระลึกถึงความฝันได้ ฉะนั้น
ท่านได้ช่วยฝูงชนใดที่ถูกโจรจับเป็นเชลย นำมาให้รอดพ้นได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเอณิ เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไป แล้วตื่นขึ้นนึกถึงฝันได้ ฉะนั้น
ท่านได้ทุ่มกำลังช่วยคนทั้งหลายผู้ไปเรือในกระแสแม่น้ำคงคาให้พ้นจากพญานาคตัวร้ายกาจอันใด เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นนึกถึงฝันได้ ฉะนั้น
อนึ่ง เราตถาคตได้มีชื่อว่ากัปปะ เป็นอันเตวาสิกของท่าน ได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสผู้มีปัญญาดี มีพรตอันใด เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นระลึกถึงฝันได้ ฉะนั้น
สำหรับเรื่องชาติต่างๆ ซึ่งเกสวดาบสได้เคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ ก็เคยกล่าวไว้ในอรรถกถา แต่จะไม่ขอกล่าวถึง
ข้อความต่อไปมีว่า
บทว่า ปตฺถจโร ได้แก่ อันเตวาสิก
บทว่า สมฺพุทฺธิวนฺตํ วติ โส อมญฺญํ ความว่า เรารู้จักท่านว่า เป็นดาบส ผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา ทั้งถึงพร้อมด้วยวัตร ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้อย่างไร ทรงแสดงไว้ว่า
ดูก่อน ท้าวมหาพรหม ในอดีตกาลในเวลาท่านเป็นเกสวดาบส เราตถาคตเป็นศิษย์ใกล้ชิด ชื่อว่ากัปปะ เมื่อท่านถูกอำมาตย์ชื่อนารทะนำมาป่าหิมพานต์ จากเมืองพาราณสี ได้ให้โรคสงบไป ลำดับนั้น นารทะอำมาตย์มาเยี่ยมท่านครั้งที่ ๒ เห็นหายจากโรค จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
ท่านเกสีผู้มีโชค ไยเล่าจึงละทิ้งจอมคนผู้ให้ความต้องการทุกอย่างสำเร็จได้ มายินดีในอาศรมของท่านกัปปะ
ท่านได้กล่าวคำนี้กะอำมาตย์นารทะนั้นว่า
ดูก่อน ท่านนารทะ สิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ใจมีอยู่ ต้นไม้ทั้งหลายที่รื่นเริงใจก็ยังมี ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิตของกัปปะ ให้อาตมารื่นเริงใจได้
กี่ชาติมาแล้ว ก็นับยากเหลือเกิน จนกระทั่งเกสวดาบสได้เกิดในพรหมโลกจนกระทั่งเป็นพกพรหม และพระผู้มีพระภาคเสด็จไปเพื่อให้มีความเห็นถูกเพราะว่า ได้สะสมอบรมปัญญาบารมีมาแล้ว
พกพรหมนั้น ระลึกถึงกรรมที่ตนได้ทำไว้ตามพระดำรัสของพระศาสดาได้แล้วเมื่อจะสดุดีพระตถาคต จึงได้กล่าวคาถาสุดท้ายไว้ว่า
พระองค์ทรงทราบอายุของข้าพระองค์นั่นได้แน่นอน แม้สิ่งอื่นพระองค์ก็ ทรงทราบ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง จริงอย่างนั้น พระรัศมีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้ จึงส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่
พระศาสดา เมื่อทรงให้พกพรหมรู้พระพุทธคุณของพระองค์ จึงทรงแสดง พระธรรม ทรงประกาศสัจจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจจธรรม จิตของพระพรหมประมาณหมื่นองค์พ้นจากอาสวะทั้งหลายแล้ว เพราะไม่ยึดมั่น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นที่พึ่งของพระพรหมทั้งหลายด้วยประการอย่างนี้ ได้เสด็จจากพรหมโลกมาพระเชตวันวิหาร แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ ภิกษุทั้งหลาย ตามที่ได้ทรงแสดงแล้วในพรหมโลกนั้น แล้วทรงประชุมชาดกว่า
เกสวดาบสในครั้งนั้น ได้แก่พกพรหมในบัดนี้ ส่วนกัปปมาณพได้แก่ เราตถาคตนั่นเอง