วิสวันตชาดก (ความสลดใจของพระสารีบุตร)
ข้อความใน ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก อิตถีวรรค อรรถกถา วิสวันตชาดกที่ ๙ เป็นเรื่องของท่านพระสารีบุตร ที่แสดงความเป็นผู้ตรงต่อความตั้งใจคือสัจจะของท่าน อันเนื่องมาจากความสลดใจของท่านเกี่ยวกับอาหาร
ข้อความมีว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภท่าน พระสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ธิรัตถุ ตัง วิสัง วันตัง ดังนี้
ได้ยินว่า ในคราวที่ท่านพระสารีบุตรเถระขบฉันของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้ง พวกมนุษย์พากันนำของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งเป็นจำนวนมากมาสู่วิหารเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ ของที่เหลือจากที่ภิกษุสงฆ์รับเอาไว้ยังมีมาก แต่พวกมนุษย์พากันพูดว่า พระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดรับไว้ เพื่อภิกษุที่ไปในบ้านด้วยเถิด
คือ ภิกษุบางรูปไม่อยู่ในที่นั้น ท่านออกไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตบ้าง
ขณะนั้น ภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของท่านพระสารีบุตรไปในบ้าน พวกภิกษุก็รับส่วนของเธอไว้ แต่ว่าเมื่อภิกษุนั้นยังไม่กลับ และเป็นเวลาสายมากแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็ถวายของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งนั้นแด่ท่านพระสารีบุตร เมื่อท่าน พระสารีบุตรฉันแล้ว ภิกษุหนุ่มรูปนั้นจึงได้ไปถึง
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุรูปนั้นว่า
ผู้มีอายุ ฉันบริโภคของเคี้ยวที่เก็บไว้เพื่อเธอหมดแล้ว
ภิกษุนั้นกล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณเจ้า ธรรมดาของอร่อย ใครจะไม่ชอบเล่า ขอรับ
ความสลดใจเกิดขึ้นแก่พระมหาเถระเจ้า ท่านจึงอธิษฐานไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป จักไม่ฉันของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้ง
ถ้าท่านผู้ฟังพิจารณาเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถ้าท่านเป็นภิกษุรูปนั้นท่านจะรู้สึกอย่างไร และจะกล่าวคำอย่างนั้นกับท่านพระสารีบุตรไหม หรือท่านจะรู้สึกอย่างไร แม้ท่านไม่ใช่ภิกษุรูปนั้น แต่ได้ยินภิกษุรูปนั้นกล่าวกับท่านพระสารีบุตรอย่างนั้น ซึ่งแสดงถึงสภาพของจิตที่ขาดความเคารพ เป็นจิตที่ประกอบด้วยอกุศลธรรม จึงสามารถกล่าวคำอย่างนั้นต่อท่านพระสารีบุตรได้ และเมื่อท่านพระสารีบุตรได้ยิน ท่านก็รู้ซึ้งถึงสภาพของอกุศลจิตของคนที่กล่าวคำอย่างนั้น ทำให้ท่านเกิดความสลดใจ และไม่อยากให้บุคคลที่ยังมีกิเลสมากอย่างนั้นเกิดอกุศลต่อๆ ไปอีก ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงอธิษฐานไม่ฉันของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้ง
ข่าวว่า ตั้งแต่บัดนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้าไม่เคยฉันอาหารที่ชื่อว่า ของเคี้ยวทำด้วยแป้งเลย ความที่ท่านไม่ฉันของเคี้ยวทำด้วยแป้งเกิดแพร่หลายไปในหมู่ภิกษุ ภิกษุทั้งหลายนั่งในธรรมสภาพูดกันถึงเรื่องนั้น
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาตรัสถามว่า
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรแม้จะเสียชีวิต ก็ไม่ยอมรับสิ่งที่ตนทิ้งเสียครั้งหนึ่งอีกทีเดียว
แล้วได้ตรัสเรื่องในอดีตชาติของท่านพระสารีบุตร
ท่านได้สะสมที่จะเป็นผู้มีสัจจบารมี ตรงกับความตั้งใจมั่นของท่าน
เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบจริงๆ กับผู้ที่สามารถพิจารณารู้ว่าตนเองมีอกุศลมากเท่าไร จะทำให้ไม่ประมาทจริงๆ เพราะว่าเพียงประมาทนิดเดียว การพิจารณาสภาพธรรมไม่ตรงตามเหตุและผล จะเป็นเหตุให้ห่างไกลต่อการเป็นผู้ตรงต่อข้อปฏิบัติที่ถูกต้องในการที่จะขัดเกลากิเลส