คิดต่างจากพิจารณา
ท่านอาจารย์ สติไม่เกิดอะไรเกิดคะ เพราะเป็นโลภะ โมหะ แต่ไม่รู้ลักษณะของโลภะ โมหะในขณะที่เห็นเกิดขึ้นใช่ไหมคะ บางคนก็เข้าใจว่าไม่เป็นโลภะเลย เพราะไม่ปรากฏอาการที่พอใจ เพราะความไม่รู้ แต่เวลาที่สติเกิดต่างกันใช่ไหมคะ กำลังพิจารณาลักษณะสภาพของรูปที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นต้องไม่ใช่โลภะ โมหะ
ผู้ฟัง ขณะนั้นเป็นกำลังคิดไม่ใช่หรือครับขณะที่กำลังพิจารณา
ท่านอาจารย์ พิจารณาโดยไม่คิด มีไหมคะ ถ้ายังไม่มีก็ยังไม่ใช่สติปัฎฐาน
ผู้ฟัง พิจารณาอย่างไรให้ยังไม่คิด
ท่านอาจารย์ น้อมไปที่จะรู้ เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงขั้นสติปัฏฐาน มีปัญญาขั้นฟัง มีปัญญาขั้นตรึก เรื่องที่ได้ยินได้ฟัง แต่ว่าจะรู้ความต่างกัน ว่าขณะใดที่สติระลึกตรงลักษณะ ไม่ได้หมายความว่าคิดเกิดขึ้นทุกครั้ง เพราะเหตุว่าจิตที่คิดก็ดับ ใครจะคิดเป็นคำได้ตลอดเวลาคะ ไม่ได้คิดเป็นเรื่องเป็นคำอยู่ตลอดเวลา ลองกระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขณะนี้นะคะ ดูสิคะว่ามีการคิดเป็นคำรึเปล่า
ในขณะที่ลักษณะแข็งกำลังปรากฏ ยังไม่ได้คิดเป็นคำว่าแข็ง ไม่ได้คิดว่าแข็งเป็นรูป ยังไม่ได้คิดว่าที่กำลังรู้ว่าแข็ง สภาพที่รู้ในลักษณะที่แข็งนั้นเป็นนาม ไม่ต้องคิด แต่นามธรรมกำลังรู้แข็ง เป็นธาตุรู้ แข็งกำลังเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ เมื่อเป็นเพียงลักษณะแข็ง ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งแข็ง และเป็นของจริง ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนั้น
สภาพรู้ กำลังรู้แข็ง โดยไม่ต้องคิดเป็นคำ เพราะฉะนั้นสติปัฎฐาน คือน้อมไปที่จะรู้ในลักษณะที่รู้ ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ และบางครั้งสติปัฎฐานก็น้อมไปที่จะไม่ยึดถือแข็ง ว่าเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนกว่าจะรู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะกระทบแข็งที่นี่ หรือว่าจะไปกระทบหญ้าที่พระวิหารเชตวัน ไม่ว่าจะกระทบที่ไหน ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางกายก็แข็ง เป็นแต่เพียงธาตุแข็งเท่านั้น จึงจะไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แต่การยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนะคะ มีมาแสนโกฏิกัปก็ยังน้อยไป
เพราะฉะนั้นเวลาที่สติเกิดระลึกที่ลักษณะที่แข็ง อย่าลืมนะคะ ความเป็นตัวตนซึ่งเคยสะสมมาเนิ่นนานยิ่งกว่าแสนโกฏิกัป ทำให้มีความรู้สึกเหมือนว่า เรากำลังนั่งแล้วก็กระทบแข็ง ความเป็นเรานี่ค่ะ ไม่ได้ออก มีความรู้สึกว่าเป็นตัวตน ซึ่งกำลังนั่งอยู่ หรือยืนอยู่ก็ตาม แล้วกำลังกระทบแข็งด้วย
เพราะฉะนั้นการที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นตัวตน ก็คือในขณะที่กำลังกระทบแข็ง และความทรงจำในความเป็นตัวตน ที่จะนั่งอยู่ หรือยืนอยู่ หรือเดินอยู่ และก็กระทบลักษณะที่แข็ง ต้องหมดสิ้น เหลือแต่เพียงอาการแข็ง และธาตุที่กำลังรู้แข็ง ในขณะนั้นเท่านั้น ชั่วขณะนั้น จึงไม่ใช่ตัวตน หรือสัตว์บุคคล หรือเราอีกต่อไป เพราะเหตุว่ามีเพียงสภาพที่กำลังรู้สิ่งเดียว คือแข็ง ไม่ใช่ไปจำเอาไว้หมดนะคะ ทรงจำไว้ว่า ที่แท้ก็เป็นเราซึ่งกำลังยืนอยู่ หรือนั่งอยู่ และรู้แข็ง
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนได้ แต่ทุกท่านที่เริ่มเจริญสติปัฎฐานนะคะ จะมีความรู้สึกว่าตัวตนยังไม่หมด แม้ว่าแข็งปรากฏ ถูกไหมคะ มีความเป็นเราที่กำลังนั่งกระทบแข็ง แต่ความเป็นเราที่กำลังนั่งกระทบแข็งต้องหมด สภาพธรรมจึงจะปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังกระทบแข็ง ไม่ได้นึกใช่ไหมคะ ไม่ต้องนึก เพราะฉะนั้นเวลาใช้คำว่าคิด หมายความถึงนึกถึงเรื่องของสิ่งที่ปรากฏ แต่ตามความเป็นจริง ขณะที่กระทบแข็งไม่ได้นึกถึงคำอะไรเลย ไม่ได้หมายความว่า ให้คิดว่าแข็งเป็นรูป นี้ต่างกันนะคะ ไม่ใช่ให้คิดว่าแข็งเป็นรูป แต่ในขณะที่แข็งปรากฏ น้อมไปที่จะศึกษาในขณะนั้น เพื่อรู้ว่าลักษณะที่รู้ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ซึ่งกำลังรู้แข็งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่คิดใช่ไหมคะ