สติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎ


    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานนี่ไม่ใช่ว่าใครต้องการก็จะเกิด หรือใครไม่รู้ก็จะเกิด แต่สติปัฏฐานเกิดเพราะมีความเข้าใจเบื้องต้นในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง จนกระทั่งความจำที่มั่นคงมีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเพราะสติเกิด กำลังระลึกลักษณะที่เป็นธรรม

    ที่จริงทุกอย่างเป็นธรรมนะคะ แต่เวลาที่แข็งปรากฏเป็นโต๊ะ ใช่ไหมคะ เห็นมี แต่เป็นแก้วน้ำ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา ว่าสภาพธรรมที่ปรากฏทางตานี่ เดี๋ยวนี้อย่างนี้ โดยที่ยังไม่ต้องไปนึกถึงอะไรเลย หรือแข็งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ทันจะนึกว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ หรือเป็นอะไรเลย แต่ลักษณะแข็งนี่ เริ่มที่จะใส่ใจ ลักษณะที่แข็ง เพราะรู้ว่าเป็นธรรม

    เมื่อเป็นธรรมแล้วขณะนั้นจะมีความคิดอื่นในขณะที่กำลังรู้ลักษณะของธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีลักษณะของธรรมหนึ่งธรรมใด กำลังปรากฏโดยสติระลึกตรงลักษณะนั้น เรื่องราวความคิดนึกต่างๆ นี่จะไม่มีอยู่ในที่นั้น คนก็ไม่มีอยู่ในที่นั้น เพราะว่ามีสภาพที่รู้ แล้วก็มีสภาพที่แข็ง

    ลักษณะที่แข็งนี่ไม่ใช่สภาพที่รู้แข็ง นี่คือปัญญา ตามที่ได้เรียนมาทั้งหมด ว่าจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เป็นนามธรรม ส่วนรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทุกอย่างต้องตรง แล้วก็สอดคล้องตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน จะมีคำอธิบายว่า ตามรู้ หมายความว่ามีลักษณะที่ปรากฏ และขณะนั้น สติสัมปชัญญะระลึกคือตามรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่เป็นเรื่องราวต่างๆ แล้วก็จะเห็นว่า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะเฉพาะอย่าง เฉพาะอย่าง ทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมทั้งหมด

    แต่ว่าเพียงฟังก่อน แล้วก็สติเริ่มระลึกบ้าง หลงลืมบ้าง ก็จะเริ่มเห็นความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิด กับขณะที่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เป็นแต่เพียงขณะที่กำลังฟังเรื่องธรรม ทั้งๆ ที่ลักษณะของธรรมนี่ปรากฏตลอดเวลา ทุกอย่างเป็นธรรม มีลักษณะจริงๆ ปรากฏ ทั้งวัน

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ ใช่ไหม คนที่กำลังฟังพระธรรมเทศนาสามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคล คือระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่ฟัง แล้วก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งแทงตลอดในการเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมนั้น ก็รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังนี้ เป็นความจริงทุกอย่าง

    คำเทศนาหรือว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นความจริงทั้งหมด ด้วยตนเอง ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงนั้น นี่คือสติปัฏฐาน

    ก็เป็นเรื่องการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง มากขึ้นตามลำดับ จากขั้นที่เริ่มฟัง จากขั้นที่เข้าใจ แล้วถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้ง เพราะว่าพระศาสนาต้องครบถ้วนทั้ง ๓ อย่าง ถ้ามีแต่เพียงการฟัง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะประจักษ์จริงๆ อย่างนั้นได้ การฟังทั้งหมดของเราก็เป็นโมฆะ เหมือนกับฟังเรื่องซึ่งไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้

    แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่ได้ฟังนี่เป็นความจริงพร้อมที่จะให้ผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญานี่ สามารถประจักษ์ได้จริงๆ ก็ต้องมีการศึกษาตามลำดับตั้งแต่ขั้นฟัง สุตมยปัญญา ขั้นคิดพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟังแล้ว จินตมยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา คือการอบรมเจริญปัญญา ที่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงในขณะนี้ได้

    ซึ่งก็ต้องยากขึ้นตามลำดับ ใช่ไหมคะ ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีจริงนี้ ยากที่จะรู้เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก แต่ก็มีสิ่งที่เกิดอีกปรากฏอีกให้เข้าใจได้อีก ไม่มีวันจบ สิ่งที่จะปรากฏให้ศึกษานี้มีอยู่ทุกขณะ แม้ไม่มีหนังสือเลย เพียงขั้นฟัง ก็สามารถที่จะค่อยๆ พิจารณาเข้าใจได้


    หมายเลข 4560
    5 ก.ค. 2567