ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง


    การฟังธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด และไม่ลืมว่าธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เห็นขณะนี้เกิดแล้ว ได้ยินขณะนี้เกิดแล้ว คิดนึกขณะนี้เกิดแล้ว แม้แต่ปฏิสนธิจิตขณะแรกก็เกิดแล้ว และหลังจากที่ปฏิสนธิจิตขณะแรกก็ไม่มีใครไปสร้าง ไปทำ แต่ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ทุกอย่างให้ทราบว่าไม่มีเราทำหรือไม่มีใครทำ แต่เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้ธรรมพิสูจน์เลย ทางตาที่กำลังเห็น มีแล้ว ต้องไปทำอะไรอีกหรือเปล่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านี้มาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดรูป แม้แต่สภาพที่อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เราจะเรียกว่าจักขุปสาท โสตปสาท กายปสาท หรือจะเรียกอะไรก็ตาม ไม่ใช่ตัวเรา ที่ทำ มีพร้อมกับปฏิสนธิจิต กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เป็นจิตชาติวิบากเกิดขึ้นพร้อมเจตสิต และกรรมชรูป

    เพราะฉะนั้นเราเลือกรูปตอนเราเกิดนี้ได้หรือไม่ ขณะที่เกิดมีรูปเกิดแล้วร่วมด้วยในครรภ์ของมารดาครั้งแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิดมีรูป ๓ กลุ่มหรือ ๓ กลาปเกิดเพราะกรรม ไม่ใช่เราไปทำให้เกิด และก็ธาตุไฟซึ่งมีอยู่ในรูป ๓ กลุ่ม ก็ต่างกันตามกรรม เพราะว่ารูปนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม เพราะฉะนั้นรูปอื่นๆ ซึ่งทยอยเกิดสืบต่อตามมา ก็ทำให้รูปร่างสัณฐานของสัตว์ที่มีกรรมนั้นๆ เป็นไปตามกรรม จะตัวเล็กเท่ามด จะตัวใหญ่เท่าช้าง แต่ว่าตอนเกิดเหมือนกันหมดคือปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิก และกรรมชรูป แต่ว่ากรรมที่ทำให้รูปเกิดสืบๆ ต่อกันมา ก็ทำให้เป็นสัตว์บุคคลสูงต่ำดำขาวอะไรก็แล้วแต่ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทั้งกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเราก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย นอกจากระลึกรู้ได้ ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรมที่ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นของเรา หรือเป็นเรา หรือเที่ยง นี่คือประโยชน์ของการระลึกรู้ลักษณะของรูปที่เคยยึดถือว่าเป็นของเรา หรือเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

    เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดพร้อมสติ ที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เลือกธรรมไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว พร้อมแล้ว มีแล้วทุกประการเพียงแต่ว่าเมื่อระลึกก็ค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะนั้นว่าสภาพนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพื่อที่จะละความเป็นเราหรือของเรา ขณะที่กำลังนั่งอย่างนี้ ยังไม่ต้องทำอะไร ก็มีรูปเกิดแล้ว แล้วก็มีจิตเจตสิกเกิดด้วย แล้วเราจะไปทำอะไร นอกจากรู้ตามความเป็นจริง โดยเข้าใจว่าขณะใดที่สัมมาสติเกิดจะมีลักษณะอย่างไร ขณะที่หลงลืมสติต่างกับขณะที่สัมมาสติไม่ได้เกิดอย่างไร นี่คือปัญญาโดยตลอด

    จุดประสงค์ของสติ และปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ ซึ่งไม่มีเราเลยในอริยสัจธรรม ทุกขลักษณะไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม สมุทัยสัจก็เป็นโลภะ สภาพที่ติดข้อง ก็ไม่ใช่ของเราอีก แล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นิพพานเป็นของเราหรือไม่ หรือว่ามรรคคือสติปัฎฐานที่เกิด ก็แล้วแต่ว่าถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย ก็ไม่มีปัจจัยที่สติระดับนี้ที่เป็นสติปัฎฐานจะเกิด เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพื่อประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้เลย เราจะให้สติเกิด ไปทำสติมาเพื่ออะไร ปกตินามธรรมรูปธรรมทำอยู่แล้ว นามธรรมเกิดก็ทำหน้าที่ของนามธรรม แม้แต่มือที่เคลื่อนไหวไปนั้นก็ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต เท้าที่ก้าวไปก็ด้วยกุศลจิตด้วยอกุศลจิต ไม่มีเราต่างหากที่จะไปทำอะไรได้ แต่สภาพธรรมเกิด แล้วก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้น ถ้าปัญญายังไม่เกิดก็รู้ไม่ได้ แต่ถ้าปัญญาเกิด ปัญญานั่นเองเป็นสภาพที่เห็นถูกเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม


    หมายเลข 4561
    24 มี.ค. 2568