น้อมนำพระธรรมพิจารณาจิตใจของตนเอง
สำหรับการฟังพระธรรมจะมีประโยชน์มาก เมื่อน้อมนำพระธรรมนั้นพิจารณาจิตใจของตนเอง เช่น ถ้าได้ข่าวการสิ้นชีวิตของใครก็ตาม ย้อนระลึกถึงตนเองนอกจากบุคคลนั้น เพราะเหตุว่าผู้ตายอาจจะเป็นผู้ที่มีโลภะมาก ชอบภาพเขียน ชอบดนตรี ชอบสิ่งสวยงาม ชอบความเพลิดเพลินต่างๆ แล้วตัวของท่านเหมือนอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่มีโลภะมาก มีความติดข้องในทรัพย์สมบัติ ก็ควรที่จะได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆ นั้นปรากฏทางตาจึงเกิดความยินดีพอใจชั่วในขณะที่เห็น เวลาที่ปรากฏทางหูเป็นเสียงที่ไพเราะ ก็ทำให้เกิดความยินดีพอใจชั่วขณะที่ได้ยินเสียงนั้น หรือว่ากลิ่นหอมๆ ที่ปรากฏก็ทำให้เกิดความพอใจเพียงชั่วขณะที่สั้นมาก คือชั่วขณะที่กลิ่นนั้นปรากฏ แม้รส แม้สัมผัส ก็เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า แม้ว่ารูปจะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก เร็วสักเท่าไหร่ก็ตาม ความพอใจก็ยังติดตามรูปที่ปรากฏนั้น เร็วอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น แล้วสำหรับผู้ที่มากด้วยโทสะ ซึ่งแต่ละท่านก็จะต้องพิจารณาตนเองว่า เป็นผู้ที่มักโกรธ ขุ่นเคือง เดือดร้อนใจบ่อยๆ หรือว่าผูกโกรธใครไว้บ้าง ก็จะได้พิจารณาตามความเป็นจริง แท้ที่จริงก็หามีบุคคลนั้นไม่ จะมีบุคคลนั้นก็เพียงชั่วชาติเดียวที่ท่านพบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นแล้วจะไม่มีอีกเลย เพราะฉะนั้น จะโกรธหลังจากที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ควรหรือไม่ควรในเมื่อไม่มีบุคคลนั้นอีก ตราบใดที่ยังมีบุคคลนั้นให้เห็น ก็อาจจะทำให้ท่านนึกโกรธหรือผูกโกรธ แต่ถ้าคิดได้ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในโลกนี้ไม่นาน แล้วก็จะจากไปโดยสิ้นเชิง จะไม่มีบุคคลนั้นอีกเลย ควรจะโกรธบุคคลนั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ ถ้าไม่ควร แม้ในขณะนี้เอง ก็เป็นเพียงชั่วขณะที่นามธรรม และรูปธรรมเกิดดับเท่านั้น ไม่นานเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าใครเป็นคนที่มักจะขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจบุคคลอื่นง่ายๆ หรือว่าไม่ลืมความโกรธ ความขุ่นเคืองนั้น ก็ควรที่จะระลึกรู้ความจริงว่า พบกันเพียงชาตินี้ชาติเดียว จริงๆ แล้วก็จะไม่พบกันอีกเลย เพราะฉะนั้นก็ควรจะดีต่อกัน มีเมตตากัน หรือว่าควรจะโกรธกัน เพราะเหตุว่าการเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าไม่คิดว่าเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้าย ก็อาจจะไม่ทำดีกับบุคคลนั้น แต่ว่าถ้ารู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็นกัน ก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยน และก็มีความเมตตากรุณาต่อกันได้