สภาพธรรมต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้


    สภาพธรรมต้องมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ลอยๆ เลย เช่น ถ้าเราเห็นสิ่งที่น่าพอใจก็ทำให้เกิดความติดข้องยินดีพอใจ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็ทำให้ขุ่นใจ ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ เป็นไปตามสิ่งที่มาปรากฏให้เห็นทางตา ให้ได้ยินทางหู ให้ได้กลิ่นทางจมูก ให้ได้ลิ้มรสทางลิ้น ให้กายกระทบสัมผัส แล้วก็ปรุงแต่งคิดนึกเป็นเรื่องต่างๆ

    แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจธรรมก็คือสภาพธรรมที่เกิด ขณะนี้เกิด จึงได้ปรากฏ แล้วดับไป ถ้าไม่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับก็ไม่ใช่ทุกขอริยสัจ เพราะว่าเวลาพูดถึงอริยสัจ ๔ ทุกคนก็ทราบว่า อริยสัจที่ ๑ คือทุกข์ อริยสัจที่๒ คือทุกขสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ อริยสัจที่ ๓ คือทุกขนิโรธ การดับทุกข์ และอริยสัจที่ ๔ คือ หนทางปฏิบัติที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม คือทุกขนิโรธ การดับทุกข์ คามินีปฏิปทา หนทางที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ซึ่งขณะนี้ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็เข้าใจทุกข์เพียงแค่ว่า เวลาที่เราป่วยไข้แล้วก็ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจนั่นคือ ความทุกข์ของเรา ซึ่งเคยคิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเป็นทุกข์

    แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกข์ยิ่งกว่านั้น คือไม่ได้ตรัสรู้เพียงว่าทุกขเวทนาหรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ความไม่สบายใจต่างๆ แต่ตรัสรู้ว่าสภาพธรรมใดก็ตาม ซึ่งเกิด สภาพธรรมนั้นดับ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ตัวตน เราไม่สามารถที่จะยับยั้งให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่เกิด ดำรงคงอยู่ได้ ขณะที่เห็น เป็นขณะเดียวกับขณะที่ได้ยินหรือไม่ ถ้าไม่ศึกษาก็คิดว่าพร้อมกันเลย ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย แต่ถ้าคิดถึงขณะที่สั้นมาก เร็วมาก เช่น เห็นต้องอาศัยจักขุประสาท ถ้าไม่มีจักขุประสาท จะไม่มีการเห็นเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ใครซึ่งไม่มีจักขุประสาทแล้วบอกว่าจะเห็น พยายามให้เห็น ทำให้เห็น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด และเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิดแล้วก็ดับ สลับกันรวดเร็วมากทีเดียว เช่น ทางตาไม่ใช่ทางหู จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ไม่ใช่จิตคิดนึก เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ จะมีจิตซึ่งเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ก็ไม่รู้จักทุกขอริยสัจ รู้จักแต่ทุกข์ที่เป็นทุกขเวทนาหรือว่าความรู้สึกที่ไม่พอใจเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องเริ่มศึกษาธรรมให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นธรรมที่มีจริง ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น และที่จะเกิดธรรมหนึ่งธรรมใดได้ ก็เพราะเหตุว่าต้องมีเหตุปัจจัยเฉพาะสภาพธรรมนั้นๆ เช่น จิตเห็นก็จะต้องมีจักขุประสาท ไม่อย่างนั้นก็เห็นไม่ได้ จิตได้ยินก็ต้องมีโสตประสาท ถ้าไม่มีโสตประสาท จิตได้ยินก็มีไม่ได้


    หมายเลข 4575
    19 ก.พ. 2568