นี่คือความเป็นอนัตตา
ไม่มีกฏเกณฑ์ แต่ว่าที่ถามนี้เพื่อที่จะเข้าใจว่าธรรมเป็นอนัตตา หรือว่าเป็นอัตตา
ชีวิตจริงๆ เป็นธรรม และธรรมก็เป็นอนัตตาด้วย แต่เพราะการไม่รู้ความจริง ไม่เห็นความเป็นอนัตตา ในขณะที่บอกว่าเป็นทุกข์มาก แล้วก็จะไม่ทำอะไร หรือว่าจะให้ทำอะไร ๒ อย่างใช่ไหม ขณะที่เป็นทุกข์มากเมื่อไหร่ เมื่อทุกข์เกิดแล้ว ถ้าทุกข์ยังไม่เกิดจะบอกว่าเป็นทุกข์มากได้ไหม ไม่ได้ ทุกข์ที่เกิดแล้วดับ มีอย่างอื่นเกิดต่อหรือเปล่า นี่คือ ความเป็นอนัตตา
ถ้าเราจะพูดอย่างชาวโลกว่า ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่เห็นความเป็นอนัตตาของธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจะต่างกับการที่เราคิดว่าเราจะต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้เพื่อแก้ไข เพื่อนโศกเศร้าร้องไห้ เราก็จะต้องปลอบเขา หรืออะไรอย่างนั้น ไม่มีใครห้ามที่จะให้จิตที่ได้สะสมมานั้นคิดอย่างไร ทำอย่างไร แต่ให้รู้สภาพธรรมนั้น เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้เกิด อย่างคนที่เป็นทุกข์ บอกว่าทุกข์มาก ทุกข์นั้นเกิดแล้ว ถึงได้กล่าว และรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นทุกข์มาก และทุกข์นั้นก็ดับ แล้วอะไรเกิดต่อ กลายเป็นเราไปอีกแล้วจะต้องทำอะไรกับทุกข์โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้นทุกข์เกิดสืบต่อเพราะเหตุปัจจัย แม้คิดก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทั้งหมด เพื่อให้มีความเห็นถูก จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ความจริงว่าไม่ใช่เราเลยสักอย่างเดียว คิดที่จะช่วยก็ไม่ใช่เรา จะไม่ช่วยก็ไม่ใช่เรา จะหาวิธีใดๆ ทั้งหมดขณะนั้น ก็เป็นสภาพของธรรม แล้วแต่ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แต่มีปัจจัยที่จะเกิดเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น ให้รู้ความจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้ส่งเสริมว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ก็มีตัวตนที่ควรจะทำอย่างนี้ ไม่ควรที่จะทำอย่างนี้ แต่ไม่มีความเห็นถูกว่าขณะนั้นเป็นธรรม
การฟังธรรม เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจะมีการกระทำใดๆ ในวันหนึ่งทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย แม้ความคิด แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกัน ก่อนคิดรู้ไหมว่าจะคิดอย่างนั้น เมื่อคิดเกิดแล้ว จึงรู้ เป็นความคิด เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล แต่ต้องเกิดแล้วจึง รู้ ไม่ใช่ว่าไปทำให้เกิดเป็นกุศล ไปทำให้เกิดเป็นอกุศลได้
ไม่มีขณะใดเลยที่จะขาดธรรม เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้ธรรมเกิดสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดจนตาย ลองหาขณะซึ่งไม่มีธรรมที่เกิด จึงเป็นธรรมแต่ละลักษณะ แต่เพราะความไม่รู้ ไม่ว่าธรรมประเภทใดเกิดก็มีความเป็นตัวตนเพราะความไม่รู้คิดว่าจะทำให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงการฟังธรรมเพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า แม้คิดก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะว่าความคิดก็หลากหลายต่างกันด้วย วันนี้คิดอย่างนี้ พอฟังเหตุฟังผลก็คิดอีกอย่างหนึ่ง ตามปัจจัยที่มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง หรือว่ามีความเห็นผิดในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ต้องการที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม หรือว่าต้องการที่จะเป็นเรา ที่จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ ก็เป็นธรรมที่คิด เพราะว่า มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และมีคิดนึก ในสังสารวัฏฏ์ก็มีอย่างนี้เท่านี้เอง