ปฐมคิลานสูตร ว่าด้วยโพชฌงค์ ๗
ข้อความที่มีใน ปฐมคิลาสูตร ข้อ ๔๑๙
ท่านพระมหากัสสปะ กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสภาษิตไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ท่านพระมหากัสสปะปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระมหากัสสปะหายจากอาพาธนั้นแล้ว และอาพาธนั้นอันท่านพระมหากัสสปะได้แล้วด้วยประการฉะนี้"
แสดงให้เห็นว่า ความเข้าใจพระธรรมของท่านพระมหากัสสปะทำให้ท่านกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก"
ถ้าเราได้ยินคำว่า โพชฌงค์ ๗ เราสามารถที่จะกล่าวคำนี้ได้หรือไม่ ที่จะกราบทูลว่า ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก แสดงให้เห็นว่า ธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เพียงที่ได้ฟังเรื่อง โพชฌงค์ ก็สามารถที่จะระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า โพชฌงค์เป็นธรรมที่เป็นเครื่องตรัสรู้อริยสัจธรรม ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถที่จะรู้หนทางนี้ได้ แต่ก็เป็นผู้ที่เห็นความจริงว่า ถ้าไม่มีการบำเพ็ญพระบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จะไม่ตรัสเรื่องโพชฌงค์ เพราะเหตุว่าโพชฌงค์ไม่ใช่สำหรับฟังแต่สำหรับที่จะอบรมจนกระทั่งโพชฌงค์นั้นเกิดปรากฏแก่ผู้ที่กำลังจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด และพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด แม้แต่ในเรื่องของโพชฌงค์ ก็สามารถที่จะทำให้เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ใช่เพราะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โพชฌงค์ ๗ ก็ไม่มี ไม่มีสำหรับที่จะให้ใครได้รู้หนทางที่จะทำให้ออกจากสังสารวัฎฎ์ เพราะเหตุว่าโพชฌงค์นั้นเป็นโพธิปักขิยธรรม ๑ หมวดในโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด ๓๗ ประการ ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมทั้งหมดนี้ ก่อนที่จะมีการรู้แจ้งสภาพธรรมได้ ต้องมีจุดเริ่มต้น ต้องมีการเริ่มต้น ไม่ใช่เพียงได้ยินวันนี้ และทุกคนก็ทราบหัวข้อชื่อ ว่ามีโพชฌงค์ ๗ แล้วก็รู้จักชื่อด้วย จำชื่อได้ด้วย แต่ไม่สามารถที่จะรู้ว่า โพชฌงค์ ๗ มีลักษณะอย่างไร
เพราะฉะนั้น การที่สภาพธรรมจะค่อยๆ เป็นการภาวนา คือ อบรมให้เจริญขึ้น ก็ต้องมีจุดเริ่มต้น คือการได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ต้องฟัง แต่ว่าฟังด้วยปัญญาที่สามารถที่จะเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผู้มีพระภาคทรงสามารถที่จะรู้หนทางที่จะทำให้ออกจากสังสารวัฎฎ์ได้ เพราะเหตุว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่ลึกซึ้ง และยากมาก เพราะเหตุว่าขณะนี้เอง ใครจะทราบว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมแต่ละอย่างที่ละเอียดมาก ทั้งจิต เจตสิก รูป ที่ทรงแสดงไว้เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา กว่าการที่ใครจะได้ฟัง พิจารณา เข้าใจ อบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะถึงความเป็นโพชฌงค์ ๗ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจในอรรถในลักษณะของโพชฌงค์ ๗ จนกระทั่งมีความซาบซึ้ง ที่ได้กล่าวกันว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก " ทุกคำที่กล่าวต้องเป็นความจริง แล้วก็ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ด้วย มิฉะนั้นก็จะเพียงกล่าวแต่ตามๆ กันมา ว่าโพชฌงค์ดีนัก แต่ไม่ทราบว่าโพชฌงค์นั้นเป็นอย่างไร สภาพธรรมมีเป็นปกติ คือ เห็น ได้ยิน คิดนึก เรื่องต่างๆ ถ้าในขณะนั้น ไม่มีผู้ที่กล่าวถึงโพชฌงค์ ๗ แต่กล่าวถึงเรื่องอื่น เพราะว่าเป็นชีวิตประจำวัน เพราะว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย หรือพระสาวกทั้งหลาย ท่านก็มีชีวิตตามปกติ ท่านเดินบิณฑบาตร แล้วก็มีเรื่องใดที่จะกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ท่านก็กราบทูลเรื่องนั้น แต่ว่าเรื่องนั้นถ้าไม่ใช่โพชฌงค์ ๗ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ทำให้เกิดปิติ ความซาบซึ้ง โดยเฉพาะแม้จะผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ได้ทรงเห็นการที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะช่วยให้คนทั้งหมดที่ได้ฟังพระธรรมได้มีการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครพูด ก็จะต้องเกิดปิติ เพราะเหตุว่าแสนยากที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้