ไม่รู้ก็ละไม่ได้
สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นปรากฏเฉพาะทางหู ส่วนการที่มีสัญญาจดจำไว้ว่า เป็นเสียงคนนั้นเสียงคนนี้ สภาพที่รู้อย่างนั้นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง แต่ลักษณะของเสียงก็เป็นแต่เพียงความกังวาฬของปฐวีธาตุ ธาตุที่แข็ง เกิดปรากฏกระทบทางหู ปรากฏทางหูเท่านั้น ไม่กระทบทวารอื่น ปรากฏทางหูนิดเดียว แล้วก็หมดไป เกินกว่าที่จะเป็นเจ้าของ หรือเกินกว่าที่จะไปยึดไปจับว่า เป็นของเราได้ ไม่ใช่สภาพที่เป็นตัวตน ไม่ใช่สภาพที่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่แม้กระนั้นความเข้าใจในอรรถ ถ้าเป็นเสียงสรรเสริญ เสียงยกย่อง เสียงชมเชย ก็ทำให้เชื้อที่มีอยู่ในใจ กิเลสที่หนาแน่นพร้อมที่จะเกิดได้ทันที เป็นความยินดีบ้าง เป็นความยินร้ายบ้าง เป็นความแช่มชื่นบ้าง เป็นความโทรมนัสบ้าง
นี่ค่ะที่จะประจักษ์ความเป็นปัจจัยของสิ่งที่กระทบปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ใช่เพียงนึก แต่ว่าผู้เจริญสติ รู้ชัดในลักษณะของนามและรูปที่ปรากฏ แล้วก็พิจารณา มีความละเอียด มีความคม มีความไวขึ้นเพราะเหตุว่ารู้ลักษณะว่า ชอบไม่ใช่เห็น ชอบไม่ใช่ได้ยิน เป็นลักษณะคนละชนิด
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มีปัจจัยเกิดขึ้นเพราะกระทบรู้สิ่งที่ปรากฏ ทางตาในขณะใด ทางหูในขณะใด ตรงตามที่ท่านได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นความแช่มชื่นหรือความไม่แช่มชื่น ก็เกิดขึ้น เพราะเหตุว่ามีหู มีเสียงมากระทบ มีสีมากระทบทั้งสิ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ผู้เจริญสติปัฏฐานก็จะรู้ได้ แล้วก็ละคลายการที่ไม่รู้ การที่หลงยึดถือนามนั้นบ้าง รูปนี้บ้าง ว่าเป็นตัวตน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่รู้ ไม่ละ ไม่มีโอกาสเลยคะ ที่ไม่รู้แล้วจะละได้