พรหมวิหาร ๔
ก็เป็นเรื่องของการอบรม แล้วก็มีความรู้ว่า ทั้ง ๔ อย่างนี่ต่างกัน คือ เมตตามีความปรารถนาดี มีความเป็นมิตร ต้องการให้คนอื่นมีความทุกข์ กรุณา ก็คือเวลาที่คนอื่นมีความทุกข์ ก็เห็นใจ เข้าใจ แล้วก็ช่วยเหลือให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์ แต่เวลาที่มีกรุณา หมายความว่าขณะนั้นต้องเป็นกุศล ซึ่งคนที่ยังมีกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็จะมีอกุศลเกิดสลับได้ เพราะว่าบางคนกรุณาคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่ว่ามีความสำคัญตนได้ หรือว่ามีความถือตัวก็ได้
นี่ก็ต้องเป็นเรื่องที่มีความละเอียดขึ้นเมื่อเป็นกุศลอย่างหนึ่ง และกุศลอย่างอื่นก็ควรเจริญด้วย ไม่ใช่ว่าในขณะนั้นก็คิดถึง อย่างคนขอทานแล้วก็มีคนบอกว่า เขาก็ให้เงินขอทาน แต่ด้วยความคิดว่าเขามีเงิน มีทอง มีทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่า เพราะฉะนั้นเขาก็อยากจะช่วยคนที่ด้อยกว่า แต่จริงๆแล้วขณะนั้นก็เป็นสภาพจิตอย่างละเอียดที่ว่า แม้ให้ก็จริง แต่มีความสำคัญตนในขณะที่ให้หรือเปล่าแต่ถ้าเป็นกุศลจริงๆ ก็คือขณะนั้นไม่มีอกุศลด้วย ไม่มีอกุศลเกิดสลับ แต่เป็นเรื่องที่ถึงมี ก็เป็นเรื่องที่เป็นจริง ทุกอย่างที่เป็นจริง ต้องยอมรับตามความเป็นจริง คือ เปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งยังไม่ดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมนั้นจะเกิดในระดับใด ก็เกิดขึ้นเป็นไปในระดับนั้น
มุทิตาก็เวลาที่มีผู้ที่ได้ดีมีสุข เราก็พลอยยินดีด้วย แต่ไม่ใช่โลภะ เพราะถ้ายินดีเกินไป ขณะนั้นก็เป็นโลภะแล้ว ใช่ไหมคะ พ้นขีดของการอนุโมทนาในผลของกุศลที่เขาได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าได้ดีมีสุข ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างต้องมาจากกุศลกรรม ต้องเป็นผลของกุศลกรรม
เพราะฉะนั้นถ้าใครได้ ขณะนั้นเราก็รู้ว่า มาจากเหตุ คือ กุศลกรรมก็ยินดีด้วยในผลที่เขาได้รับ แม้แต่ว่าจะเพียงชั่วคราว เพราะว่าทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไป สามารถจะรู้ถึงเหตุในอดีตได้ว่าทำให้เกิดสิ่งที่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นผลของกุศล ก็ยินดีด้วย คือไม่ริษยา
อุเบกขาก็คือว่าไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะประสบกับสิ่งที่น่ายินดียินร้าย ถ้าเราไม่สามารถจะช่วยได้ ก็ไม่เดือดร้อน