สัทธาเจตสิกเกิดกับความเห็นถูก
เพราะฉะนั้นกุศล ไม่ว่าจะเป็นไปในทาน ในศีล ในสมถะ ความผ่องใส หรือว่าความสงบของจิต หรือว่าสติปัฏฐานที่จะเกิดต่อไป เมื่อมีปัจจัยเพียงพอที่จะเกิดก็เกิด ก็จะต้องมีสัทธา ซึ่งลักษณะของสัทธาจะไม่เหมือนกับที่เราเห็นความเชื่ออื่นๆ เขาก็มีรสัทธา อาจจะร้องเพลงสรรเสริญหรืออาจจะทำอะไร ๆ ก็ได้ อาจมีกริยาอาการกราบไหว้ซึ่งเหมือนกับสัทธา แต่ว่าเห็นผิดนะคะ การเคลื่อนไหวทางกายทางวาจา ผิดหมดอย่างผู้ที่สรรเสริญด้วยการร้องเพลงบูชาอะไรต่างๆในความเห็นอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นไม่ใช่สัทธา แต่ดูเหมือนสัทธา จนกระทั่งคนบอกว่า ดูสัทธาของเขา เขามีสัทธามากจนกระทั่งทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่ความจริงเป็นไปด้วยความเห็นผิดแล้วมีความต้องการที่จะให้ความเห็นผิดนั้นต่อไปจึงได้กระทำสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษาจริงๆ เราก็ใช้คำสัทธาในทางที่ผิด เพราะคิดว่าความเห็นผิดก็มีสัทธาได้ แต่ว่าโดยปรมัตถธรรมแล้ว ขณะใดที่เห็นผิด ขณะนั้นไม่มีสัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วย