พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระชนมายุไม่เต็มอายุกัป


    เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจในเรื่องความเป็นอนัตตา แล้วก็ในเรื่องของปัจจัย เราก็จะไม่ไปนั่งคิดว่า เราจะต้องไปทำอะไร นอกจากว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ รู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ไหม ถ้าไม่รู้เพราะอะไร เพราะยังไม่เข้าใจพอ เพราะเหตุว่าการรู้คือความเข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มค่อยๆเข้าใจขึ้น ปกติธรรมดาแม้จะนานมากน้อยสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องที่ตรงเพราะเหตุว่ามีลักษณะสภาพธรรมให้พิสูจน์ตัวเราว่า ปัญญาของเรารู้แค่ไหน ถ้ารู้แค่นี้ก็แค่นี้ แล้วก็ระลึกอีก ค่อยๆรู้อีก แล้วก็ค่อยๆระลึกอีก แล้วค่อยๆรู้อีก

    ให้ทราบว่า เราอยู่คนเดียวกับความคิดของเรา แค่นี้ก็ทำให้เรารู้ว่า ขณะที่กำลังเห็น แท้ที่จริงเราคิด เพราะจริงๆแล้วอยู่คนเดียวกับความคิด แล้วจริงๆก็ไม่ใช่เราด้วย คือ จิตซึ่งเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่ใช่มีแต่คิดมีเห็นบ้าง อะไรบ้าง แต่ก็หลังจากเห็นแล้วก็คิด หลังจากที่ได้ยินแล้วก็คิด

    เพราะฉะนั้นให้เห็นความคิดของเราว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เพื่อที่จะได้เห็นชัดๆส่วนใหญ่แล้วลองคิดดูว่าหลังเห็นแล้ว จิตเป็นอะไร เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล โดยมากถ้าเราไม่เห็นอกุศลมากๆ เราจะเป็นคนประมาท แต่พอยิ่งรู้ว่าอกุศลมามากแค่ไหน ทั้งทางตา ไม่หยุดเลย ที่สติปัฏฐานไม่เกิด ที่กุศลจิตไม่เกิด ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่หยุดเลย แล้ววันหนึ่งๆ จะให้กุศลเกิดมากๆ ให้ปัญญาเกิดเยอะๆ แล้วก็ให้ได้ผลเร็วๆ เป็นไปได้อย่างไร


    หมายเลข 4625
    26 ส.ค. 2558