พรหมวิหารสี่เป็นอย่างไร
ก็เป็นเรื่องของการอบรม และมีความรู้ว่า ทั้ง ๔ อย่างนี้ต่างกัน คือ เมตตา มีความปรารถนาดี ต้องการให้คนอื่นมีความสุข กรุณาก็เวลาที่คนอื่นมีความทุกข์ ก็เห็นใจ เข้าใจ ช่วยเหลือให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์ แต่เวลาที่มีกรุณา หมายความว่าขณะนั้นต้องมีกุศล สำหรับคนที่ยังมีกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็จะมีอกุศลเกิดสลับได้ เพราะบางคนกรุณาคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่มีความสำคัญตนได้ใช่ไหมคะ หรือถือตัวก็ได้
นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องละเอียดขึ้น เมื่อเป็นกุศลอย่างหนึ่ง กุศลอย่างอื่นก็ควรเจริญด้วย ไม่ใช่ในขณะนั้นก็ไม่ได้คิด อย่างคนขอทาน แต่ก็คิดว่า ให้เพราะมีคนเงินทอง มีทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่า ก็อยากจะช่วยคนที่ด้อยกว่า แต่จริงๆ แล้ว ขณะนั้นก็เป็นสภาพจิตอย่างละเอียด ที่ว่าแม้ก็จริง แต่มีความสำคัญตนในขณะที่ให้หรือเปล่า แต่ถ้าเป็นกุศลจริงๆ ก็คือในขณะนั้นไม่มีอกุศลเกิดสลับ แต่ก็เป็นเรื่องที่ถึงมี แต่ก็เป็นจริง ทุกอย่างที่มีต้องยอมรับตามความเป็นจริง คือเปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งยังไม่ได้ดับสนิท ไม่ได้เกิดอีกเลย
เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมจะเกิดในระดับใด ก็เกิดขึ้นเป็นไปในระดับนั้น
มุทิตาคือเวลาที่มีผู้ได้ดีมีสุข เราก็พลอยยินดีด้วย แต่ไม่ใช่โลภะ เพราะถ้ายินดีเกินไป ขณะนั้นก็เป็นโลภะแล้ว พ้นจากขีดของการอนุโมทนาในผลของกุศลที่เขาได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าได้ดี มีสุข ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกอย่างต้องมาจากกุศลกรรม ต้องเป็นผลของกุศลกรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าใครได้ ขณะนั้นเราก็รู้ว่า มาจากเหตุ คือกุศลกรรม ก็ยินดีด้วยในผลที่เขาได้รับ แม้แต่จะเพียงชั่วคราว เพราะทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนไป สามารถจะรู้ถึงเหตุในอดีตได้ว่า ทำให้เกิดสิ่งที่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นผลของกุศล ก็ยินดีด้วย คือไม่ริษยา
อุเบกขา คือ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะประสบกับสิ่งที่น่ายินดี ยินร้าย ถ้าเราไม่สามารถจะช่วยได้ก็ไม่เดือดร้อน