จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตมีจริง
ขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก ถ้าศึกษาวิถีจิต พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงไว้โดยละเอียดทีเดียวว่า หลังจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว ภวังคจิตเกิดสืบต่อ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก ลักษณะของภวังค์จะเห็นชัดในขณะที่นอนหลับ แต่ขณะนี้ไม่หลับ เพราะฉะนั้น เป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งเห็น ไม่ใช่ภวังคจิต และขณะที่ได้ยินก็เป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งได้ยิน แต่ว่าจิตเห็นกับจิตได้ยินก็ห่างกันมากทีเดียว ไม่ใช่เกิดใกล้เคียงกัน อย่างที่ดูเสมือนว่าไม่ดับเลย
ถ้าจิตเห็นกับจิตได้ยินสามารถเกิดดับช้าๆ ให้ทุกคนเห็น ก็จะไม่มีใครสงสัยในลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟังแล้วพิจารณาว่า จิตมีจริง ขณะที่เห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ไม่ใช่เรา จิตที่ได้ยินก็มีจริง เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่เรา แต่การที่จะรู้ว่า จิตใดเกิดดับสืบต่อกันอย่างไรนั้นเป็นปัญญาขั้นฟัง เพียงแต่เริ่มเข้าใจแม้ขณะที่กำลังฟังว่า ลักษณะอาการของการเห็น กำลังมีอยู่ และที่ว่าเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เพราะเหตุว่ากำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเป็นคนตายแล้วไม่เห็น
เพราะฉะนั้น ลักษณะเห็นขณะนี้มีจริงๆ แล้วก็เป็นอนัตตา แล้วก็กิจการงานาของจิตชั่วขณะที่เห็นด้วย
ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญานั้นเป็นจิรกาลภาวนา เป็นการอบรมเจริญไปจนกว่าเพราะเหตุว่าจะสมบูรณ์ ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะตอบว่ามีจิต แต่ไม่ทราบว่า ขณะนี้จิตอยู่ที่ไหน แต่ถ้าทราบว่า กำลังเห็นเป็นจิต กำลังได้ยินเป็นจิต กำลังคิดนึกเป็นจิต ตลอดวันเป็นจิตที่เกิดดับสืบต่อ ตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้ และจิตที่ดับไปแล้วก็ดับไปเลย ไม่ใช่กลับมาเกิดอีก