สติปัฏฐานคืออะไร
จึงมีคำว่า “สติปัฏฐาน” เพื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ในขณะนี้เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด เราก็ฟังเรื่องของนามธรรม และรูปธรรม มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเรื่องของนามธรรม และรูปธรรม แต่ขณะที่ฟังเป็นสติขั้นฟัง กุศลใดๆ ทั้งหมดที่จะขาดสติเจตสิกไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นทาน จะเป็นศีล ไม่ว่าจะเป็นสมถภาวนา การช่วยเหลือผู้อื่น หรือวาจาที่เป็นประโยชน์ทั้งหมด ขณะนั้นเพราะจิตเกิดร่วมกับสติเจตสิกที่ระลึกเป็นไปอย่างนั้นๆ การกระทำ และคำพูดอย่างนั้นจึงเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงเป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง หรือจะใช้คำที่แปลกันว่า จำปรารถนาในที่ทั้งปวง ซึ่งก็หมายความว่า เป็นประโยชน์ในที่ทั้งปวง เพราะสติเกิดระลึกได้
วันนี้มีใครระลึกที่จะให้ทานบ้างไหมคะ ไม่มีก็ได้ แต่ระลึกที่จะฟังธรรม ถ้าสติไม่เกิด ไปแล้ว ระลึกเรื่องอื่นทันที แม้ขณะที่กำลังฟัง เวลาฟังแล้วเข้าใจพิจารณา นั่นคือหน้าที่ของสติที่ไม่ไปอื่น แต่ระลึกที่สภาพ เรื่องราวที่ได้ยินได้ฟัง แล้วปัญญาก็สามารถเกิดค่อยๆ เข้าใจ เป็นธรรมทั้งหมด คือ จิต เจตสิกทั้งหมด แต่ให้ทราบว่า ต้องรู้ลักษณะของสติว่า เป็นธรรมฝ่ายดี และเกิดกับกุศลทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นขั้นทาน สติก็ระลึกเป็นไปในการให้ บางคนก็อาจจะมีเสื้อผ้าหลายตัว เคยคิดไหมว่า ตัวนี้จะให้ใคร เป็นประโยชน์กับใคร นั่นคือสติ ไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่เคยเป็นเราทำกุศล แต่ความจริงสติเกิดขึ้นจึงเป็นไปในกุศล แล้วแต่ว่าระดับไหน ระดับทาน ระดับศีล ระดับสมถะ หรือระดับสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครอบรมสติปัฏฐาน เพราะว่าจากการตรัสรู้ จึงสามารถรู้ว่า หนทางจริงๆ ที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงระดับขั้นฟัง แต่ขั้นประจักษ์แจ้งในความเป็นนามธรรม และรูปธรรม ต้องเป็นเมื่อสติเกิด และระลึกลักษณะของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจสภาพธรรมก่อน ถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรม สติปัฏฐานจะเกิดได้ไหมคะ เรียกชื่อกันว่า สติปัฏฐาน แต่ตัวจริงไม่ใช่สติปัฏฐาน ของปลอมกับของจริง ดอกไม้ปลอมกับดอกไม้จริง ถ้าไม่ใช่ของจริงก็ต้องเป็นของปลอม ไม่ใช่สติก็ไปเรียกว่าสติ ที่นี่รู้จักตัวปลอมตัวจริงไหมคะ ถ้าตัวจริงยังไม่เกิด ก็รู้ไม่ได้ว่า อะไรจริง จนกว่าสภาพที่เป็นจริงเกิด เมื่อนั้นก็จะรู้ว่า สภาพจริงๆ เป็นอย่างนี้