ฟังธรรมเพื่อรู้มากจำมากหรือเพื่ออะไร
ผู้ที่ฟังมาก จำมาก แต่ไม่รู้ประโยชน์ ประโยชน์สำคัญที่สุดว่า ฟังเพื่ออะไร นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องว่า ถ้าจิตตั้งไว้ชอบ ขณะนั้นก็สามารถอบรมสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราฟังมากเพื่อรู้ และจำมาก แต่ไม่สามารถเข้าใจ ประโยชน์ของการฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ การเรียนของเราก็สูญเปล่า เพราะถึงแม้จะเรียนไป และสภาพธรรมก็ยังคงปรากฏ และก็ยังคงไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ศึกษาว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวตน ขณะที่เห็นเป็นธาตุหรือเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเมื่อมีสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาท คือเหตุผลต้องกำกับตลอด จิตนี้จะเกิดเมื่อรูปนี้กระทบกับจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เราก็ฟัง แต่ถ้าฟังแล้วไม่น้อมที่จะค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นว่า ธาตุชนิดนี้มีจริงๆ กำลังเป็นอย่างนี้ กำลังทำกิจอย่างนี้ จะทำให้เราไม่มีทางรู้ลักษณะของสภาพธรรมเลย ก็เพียงฟังไปตลอด
อีกอย่างหนึ่งจะมีคนบอกว่า คนที่ฟังธรรม ถ้าความประพฤติในชีวิตประจำวันไม่เป็นธรรม ไม่สอดคล้องกับธรรม มีไหมคะ หรือไม่มี มีแน่นอน เพราะฉะนั้น ผู้นั้นถึงจะรู้มาก จำได้มาก แต่มีการเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของพระธรรมว่า เพื่อสิกขา คือ ประพฤติปฏิบัติตาม การศึกษาไม่ใช่ศึกษาเพียงเรื่องราวหรือคำ แต่ศึกษาด้วยการน้อมเข้าใจเพื่อจะประพฤติปฏิบัติตาม
เพราะฉะนั้น บางคนเรียนมาก แต่ไม่เมตตา ก็เห็นได้ว่า เรียนเข้าใจเรื่องราว แต่ขณะนั้นระลึกได้หรือเปล่าว่า ทรงสอนเรื่องสภาพของจิตหรือธรรมฝ่ายดีซึ่งตรงกันข้ามกับฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้น คนนั้นอาจจะอยากเรียนมากๆ อ่านหนังสือมากๆ ฟังเทปมากๆ แต่ไม่สนใจที่จะรู้ว่า จรณะ คือความประพฤติในชีวิตประจำวันขั้นศีลมีหรือเปล่า ถ้ายังสามารถล่วงศีล โดยไม่เห็นโทษ ไม่เห็นภัย และไม่เห็นประโยชน์ว่าเรียนทำไม ถ้ายังคงมีความประพฤติที่ไม่เป็นไปในฝ่ายกุศล คนนั้นก็จะจำแต่เรื่องราวของสภาพธรรม แต่ไม่ได้ประโยชน์ หวังอย่างเดียว คือหวังให้สติปัฏฐานเกิด ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหวังให้สติปัฏฐานเกิด โดยที่จรณะก็ยังไม่มี แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสได้พิจารณาให้เห็นประโยชน์จริงๆ ประโยชน์ก็ไม่เกิด แต่เพราะเหตุว่าสะสมมามาก และก็สะสมอัธยาศัยซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว การสะสมทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นโดยแยบคาย โดยถูกต้อง ทำให้เห็นประโยชน์ และประพฤติในทางที่ถูกต้องได้
ถ้าเข้าใจสภาพธรรมโดยละเอียดจริงๆ ก็จะรู้ความจริงว่า จิต ๑ ขณะที่เกิดมีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเหตุปัจจัยได้ จึงใช้คำว่า สังขตธรรม ปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด ไม่ว่าจะเป็นกายที่ดีหรือไม่ดี วาจาที่ดีหรือที่ไม่ดี ก็เป็นสังขตะเมื่อเกิด เพราะปรุงแต่งแล้วเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ แต่ถ้าเข้าใจความหมายของอดทนว่า ไม่ใช่เพียงอดทนที่จะไม่พูด หรือไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือทำให้คนอื่นไม่สบายใจ แต่อดทนยิ่งกว่านั้นมาก คืออดทนที่จะรู้สภาพของจิต ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเลือกไม่ได้ และได้ศึกษามาแล้วว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรม เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่ต้องอดทนที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏสั้นมาก แล้วดับไป
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการเลือก จึงไม่มีการคอย จึงไม่มีการหวัง และความอดทนนี้จะเห็นได้ว่า ต้องอดทนนานแสนนานกว่าจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏนิดเดียวแล้วดับ ยังไม่มีใครทันไปเปลี่ยนแปลงว่าจะทำอย่างนั้น จะกำหนดอย่างนี้ จะดูอย่างโน้น จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สภาพธรรมนั้นดับแล้ว
เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้สภาพธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้น เป็นสังขตธรรม สิ่งที่เกิด ดับเร็วมาก
เพราะฉะนั้น ขั่วขณะที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ความอดทนจะมากกว่าความอดทนอื่นสักแค่ไหน ที่จะอดทนจนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เพียงเกิดแล้วก็ดับอย่างเร็วมาก แต่ก็เป็นความจริง
เพราะฉะนั้น ต้องอดทนเพิ่มขึ้นอีก คือ อดทนทางกาย ทางวาจาก็ยังไม่พอ ต้องทางใจที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วย แล้วจะเห็นประโยชน์ของความอดทนจริงๆ