พิจารณาขน ผม เล็บ ฟัน หนังอย่างไร
เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่อ่าน เพราะว่าอ่านแล้วก็เข้าใจผิดได้ อย่างเรื่องของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มีอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมทั้งหมด จะไม่พ้นไปจากการที่ปัญญาสามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ ก็น่าสงสัยใช่ไหม ว่าทำไมถึงมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ในมหาสติปัฏฐานด้วย อย่างที่ได้กล่าวถึงแล้ว คำว่า มหา กว้างใหญ่ รวมทุกอย่างไม่เว้น
ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่แสวงหาทาง ที่จะหมดจดจากกิเลส แต่เพราะความที่เขาไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อุททกดาบส อาฬารดาบส ผู้ที่สามารถบรรลุถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นอรูปฌานขั้นสูงสุด ก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ว่าสามารถที่จะบรรลุถึงอรูปฌานขั้นสูงสุด ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งจะเป็นทางที่จะทำให้จิตสงบ เพราะระลึกถึงความเป็นปฏิกูล ของผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง ฟันบ้าง หนังบ้าง เล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความมั่นคงของจิตที่สงบ ถึงระดับขั้นอัปปนาสมาธิ ที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ มีแต่นามธรรมเป็นอารมณ์ ถึงขั้นนั้นก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็คือผู้ที่พิจารณากาย แล้วก็เห็นส่วนของกาย โดยความเป็นปฏิกูล คือเราเคยเห็นผมว่าสวย ท่านเหล่านั้นก็มาคิดใหม่ ลักษณะกลมๆ ยาวๆ ตั้งอยู่บนโอกาสที่หนังศีรษะ ซึ่งปฏิกูลมีอะไรต่ออะไร ถ้าอ่านตามเรื่อง ก็จะเห็นคำอธิบายของวิธีที่ตรึกพิจารณาอย่างไร แล้วจิตสงบ แต่ไม่ได้รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นสมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนาต่างกัน สมถภาวนามีก่อนการตรัสรู้ เมื่อมีผู้ที่มีปัญญาสามารถที่จะเข้าใจว่า แม้ชีวิตธรรมดาประจำวันอย่างผม ทุกคนก็มี แต่ว่าติดข้องในผม ทางที่ไม่ติดข้องก็คือว่า ระลึกจนกระทั่งเห็นความเป็นปฏิกูล แต่ก็เพียงสงบระงับ ถ้าถึงอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ก็เป็นฌานจิต แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นถ้าผู้นั้น เคยระลึกถึงผมในลักษณะนั้น แล้วก็ได้ฟังพระธรรม ขณะหนึ่งขณะใดที่สัมมาสติเกิด แม้แต่ขณะที่กำลังระลึกถึงความเป็นปฏิกูล ขณะนั้นก็รู้ในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้จำกัด ไม่ได้เว้นเลย แต่หัวใจของการอบรมเจริญปัญญาก็คือว่า สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม ทางเดียวที่จะละความยึดถือว่าเป็นตัวตน ต่อเมื่อมีปัญญารู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่รู้ก็ต้องเป็นผมของเราอยู่นั่นแหละ ใช่ไหม ทุกอย่างก็ต้องเป็นของเรา แต่พอรู้ในลักษณะที่เป็นนาม ลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้เกิดขึ้น และก็ดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เสียงนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มั่นคงเลย จะเป็นเราได้อย่างไร ทุกอย่างที่เกิดดับก็ไม่เป็นเรา
เพราะฉะนั้นเวลาที่อ่านสติปัฏฐาน ต้องรู้ว่าถ้าขณะนั้น ไม่ว่าจะมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีลมหายใจหรือว่ามีอิริยาบถหนึ่งอิริยาบถใด ที่ทรงอยู่ ตั้งอยู่ แล้วก็รูปในอิริยาบถนั้นปรากฏ ก็จะต้องเพื่อรู้ลักษณะจริงๆ ของนามธรรม และรูปธรรม ถ้ามิฉะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้าไม่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ที่เป็นนามธรรมรูปธรรม ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน ที่เราเรียนเรื่องปรมัตถธรรม ก็เพื่อให้แยกความที่ไม่เคยรู้ แล้วก็ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา โดยบัญญัติโดยสมมติ โดยความจำ ให้รู้จริงๆ ว่าขณะใดที่จำว่าเป็นเรา ขณะนั้นไม่ใช่ปรมัตถธรรม
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ความจริงที่เป็นสัจจะก็คือ ต้องมีลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมเท่านั้น สามารถที่จะแยกปรมัตถธรรม และบัญญัติออกจากกันได้ จึงจะรู้ว่าสิ่งใดมีจริง และสิ่งที่มีจริงเท่านั้นที่เกิดดับ ส่วนที่เป็นสิ่งที่เรียกสมมุติคิด ขณะนั้นเป็นแต่เพียงเรื่องราว ไม่มีสภาพธรรมจริงๆ ก็จะทำให้ถึงการประจักษ์การเกิดดับ ซึ่งเป็นทุกขลักษณะไม่ได้