จะละคลายความเป็นเราอย่างไร
ถ้าเป็นเรานี่จะเหนียวแน่นสักแค่ไหน ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย แต่จำไว้ว่ามี คนที่ถูกตัดขาออก แรกๆ เขาก็ยังคิดว่าขาเขายังอยู่ เพราะเขาเคยมีขา ใช่ไหม และเขาก็จำได้ว่ามีขา พอขาถูกตัดไป ทั้งๆ ที่ไม่มีแล้ว ก็ยังจำว่ายังมีขาอยู่ ฉันใด รูปเกิดดับเร็วมาก หมดไปทุกขณะ รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้ว ดับแล้ว อย่างเสียงในป่า เสียงเกิดขึ้น เพราะการกระทบกันของวัตถุที่แข็งกระทบกันเมื่อไร เสียงก็ปรากฏขึ้นเมื่อนั้น มีคำถามว่า แล้วเสียงในป่า มีไหม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ยิน แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เมื่อมีปัจจัยของสิ่งใดที่จะเกิด สิ่งนั้นก็เกิด แต่เสียงดับไหม ถึงแม้ว่าเกิดแล้วเสียงก็ดับ
เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ แม้มีก็เหมือนไม่มี เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับแล้ว เวลานี้ต้องเปลี่ยนความทรงจำ จากรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีครบทุกอย่าง ทั้งฟัน ทั้งตา ทั้งผม ทั้งเล็บ อะไรทั้งหมด จริงๆ แล้ว เหลือเพียงชั่วขณะจิตที่กำลังมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ รูปอื่นไม่มีเลย ไม่ปรากฏเลย ไม่เหลือเลย นี่คือความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับ การที่จะหมดความเป็นตัวตนได้ ไม่ใช่ยังคงมีรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าด้วยความทรงจำ เพราะจริงๆ จำไว้หมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เห็น ไม่ปรากฏ จำว่ามี ตั้งแต่ผมไปจนกระทั่งถึงเล็บเท้า ปลายเท้าเลย แต่ว่าตรงแข็ง ส่วนหนึ่งส่วนใดที่กระทบสัมผัส ตรงนั้นต่างหาก ที่เกิดแล้วดับ ที่ปัญญาสามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนั้นสภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นดับ ตรงอื่นไม่ได้ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้อย่างนี้ มีอัตตสัญญา ในพระไตรปิฎกมีไหม อัตตสัญญา ความทรงจำว่ามีเรา แต่อบรมเจริญไป เพื่อละอัตตสัญญา เพื่อให้มีความเห็นที่มั่นคงถูกต้องในอนัตตสัญญา ทั้งตัวนี้จะย่อลงไปจนหมด เหลือเพียงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา ไม่ใช่เท้า ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ถ้าเป็นแข็งก็คือแข็ง กับธาตุที่กำลังรู้แข็ง จึงไม่มีเรา ถ้ามิฉะนั้นก็ยังต้องมีเราอยู่ ก็พิจารณาดู ว่าความจริงเป็นอย่างไร ความไม่รู้กับความยึดมั่น เป็นอย่างไร และจะยังคงมีความยึดมั่นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ โดยสติสัมปชัญญะเกิด ไม่ใช่โดยเราไปนั่งทำอะไร เพื่อที่จะให้เห็น แต่การที่สภาพธรรมจะปรากฎได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อปัญญาอบรมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งคลายอัตตสัญญา แล้วก็รู้จริงๆ ว่าสภาพธรรมเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ใคร