ขณะฝันต่างจากขณะที่ไม่ฝันอย่างไร


    สำหรับคนที่เกิดเป็นมนุษย์ และไม่พิการตั้งแต่กำเนิด ก็จะเป็นมหาวิบากญาณวิปยุตต์หรือญาณสัมปยุตต์ แม้ว่าเป็นมหาวิบากญาณวิปตยุตต์ก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่โดยชาติแล้วเป็นวิบาก

    สำหรับผู้ที่ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ คือ ประกอบด้วยปัญญา แต่โดยชาติเป็นวิบากเหมือนกัน เพราะเหตุว่าไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนั้นไม่ได้ฝัน แต่ขณะที่ฝันก็แล้วแต่ว่าฝันด้วยกุศลจิตหรือฝันด้วยอกุศล ความฝันก็มีทั้งที่เป็นกุศล และที่เป็นอกุศล ถ้าฝันแล้วตกใจกลัว ขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตที่ฝัน แต่ถ้าฝันแล้วจิตใจผ่องใสเป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็นกุศลจิต

    ความต่างกันของสิ่งที่เราเรียกว่า “ฝัน” หรือ “ไม่ฝัน” ก็คือว่า ธรรมดาของภวังคจิตไม่ใช่วิถีจิต ไม่มีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ววิถีจิตคือขณะที่รู้อารมณ์โดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใด แต่ก็มีภวังคจิตคั่น แต่ละวาระที่รู้อารมณ์ทางทวารหนึ่งทวารใด เช่นในขณะนี้หลังจากจักขุทวารวิถีจิตดับแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น ก่อนจะมีวิถีจิตทางหูที่ได้ยินเสียง

    เพราะฉะนั้น ความต่างกันของฝันกับไม่ฝัน ก็คือว่า ในขณะนี้ที่ภวังคจิตเกิด แต่ก็มีอารมณ์จริงๆ กระทบทางตา กระทบทางหู กระทบใจที่ทำให้มโนทวารเกิดขึ้นนึกคิดเรื่องราวต่างๆ แต่ในขณะที่ฝันเป็นเพราะการสะสมของสิ่งที่เคยเห็นบ้าง เคยได้ยินบ้าง เป็นสุข เป็นทุกข์กับสิ่งที่เคยเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ทำให้อารมณ์นั้นกระทบกับมโนทวาร คือ ภวังคุปัจเฉทะ แล้วมโนทวาราวัชชนจิตก็เกิดขึ้นนึกถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็เป็นความฝัน แต่เป็นชั่วระยะที่ต้องสั้นมาก

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ฝันก็จะมีภวังค์เกิดคั่นกับวิถีจิต โดยที่ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะจริงๆ กระทบ แต่ในขณะที่ไม่ฝัน จะมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะจริงๆ กระทบมากกว่า

    เพราะฉะนั้น เวลาตื่นขึ้นก็รู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นความฝัน เพราะเหตุว่าไม่ใช่มีรูปกระทบตาจริงๆ ไม่ใช่มีเสียงกระทบหูจริงๆ ไม่ใช่มีกลิ่น มีรส มีโผฏฐัพพะกระทบจริงๆ

    ผู้ฟัง เป็นกุศลหรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นกุศลจิตก็ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    ผู้ฟัง ที่ว่าเป็นบุญ เป็นบาป

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ เพราะคำว่า อกุศลกรรมบถก็ดี กุศลกรรมบถก็ดี คำว่า “ปถ” แปลว่า ทาง เพราะฉะนั้น เมื่ออกุศลนั้นถึงความเป็นทางที่จะไปสู่คติหนึ่งคติใด หรือทำให้วิบากจิตเกิดจึงจะครบองค์ แต่ในขณะที่ฝันนั้นไม่ครบองค์ เป็นอกุศลจิต หรือกุศลจิต

    ผู้ฟัง ตอนนอนหลับสนิท สติเกิดได้ไหม

    ท่านอาจารย์ อย่างที่เรียนให้ทราบ ตอนหลับสนิท ไม่ใช่วิถีจิต คือไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจรู้อารมณ์ ถ้าขณะนั้นเป็นผู้ที่ปฏิสนธิด้วยมหาวิบากญาณวิปยุตต์ก็ดี หรือมหาวิบากญาณสัมปยุตต์ก็ดี ขณะนั้นต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เป็นชาติวิบาก เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลที่ไม่พิการแต่กำเนิด หรือทำให้ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลที่มีปัญญาเจตสิกเกิดในขณะที่กำลังเป็นวิบาก เป็นพื้นฐานของจิตที่จะทำให้สามารถเจริญเติบโตขึ้นเมื่อได้มีโอกาสอบรมปัญญาต่อๆ ไป

    ผู้ฟัง คิดว่าไม่มีสติเกิด

    ท่านอาจารย์ ทำไมถึงจะว่าไม่มีสติล่ะคะ สติเกิดกับโสภณจิต แม้วิบากจิตซึ่งเป็นโสภณ เป็นมหาวิบากจิตก็เป็นกามาวจรโสภณจิต แต่โดยชาติ สติเป็นชาติวิบาก แต่สติเป็นสภาพธรรมที่ระลึก เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดขึ้นแม้โดยสภาพที่เป็นวิบาก ก็ระลึกในอารมณ์ของมหาวิบากนั้นเอง

    ผู้ฟัง ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า พระองค์ทรงนอนหลับ แต่หลับโดยมีสติ ก็โดยนัยนี้ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ หมายความถึงพร้อมที่จะลุกขึ้นด้วยสัมปชัญญะ ไม่เหมือนกับคนที่หลงลืมสติตื่น หลงลืมสติหลับ

    เพราะฉะนั้น อายตนะมีโทษมาก เมื่อไม่รู้ แต่ว่ามีประโยชน์มากเมื่อสติเกิด


    หมายเลข 4677
    26 ก.ค. 2567