จะถึงนิพพานได้อย่างไร
การอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นการฟังเพื่อละความไม่รู้ เพื่ออบรมปัญญาให้เห็นนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถละความติดข้อง จึงจะสามารถประจักษ์แจ้งในธาตุอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากธาตุที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น สภาพของนิพพานอย่างเดียวที่สามารถดับกิเลสได้ เมื่อปัญญาสามารถรู้แจ้งลักษณะของนิพพาน
โลภะติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่มี โลภะติดในกุศลได้ไหมคะ กุศลของเรา เรามีกุศลเยอะ เราอยากทำกุศลมากๆ ด้วยความต้องการ
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดสามารถเป็นที่ตั้งของโลภะ เป็นที่ยึดถือของโลภะได้ เว้นนิพพาน ถ้าไม่มีนิพพาน ดับกิเลสใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่านิพพานเป็นปรมัตถธรรมที่มีจริง แต่สามารถรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาที่ถึงขั้นที่สามารถจะรู้นิพพานได้ จึงจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้ ขณะใด ขณะนั้นจึงจะเป็นโลกุตตรจิตที่ดับกิเลส ได้แก่ โสตาปัตติมัคคจิตซึ่งเป็นโลกุตตรกุศลระดับแรก เป็นปัจจัยให้เกิดโสตาปัตติผลซึ่งเกิดสืบต่อทันที กุศลใดๆ ที่ทำไม่สามารถให้ผลทันทีได้ เว้นโลกุตตรกุศล เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย จิตขณะนี้ดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ถ้าเป็นกุศลจิตที่ได้กระทำ เช่นในวันนี้ที่ได้ศึกษาธรรม ได้เข้าใจธรรม เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ยังไม่ได้ให้ผลทันที กุศลทั้งหลายไม่ได้ให้ผลทันทีที่กุศลนั้นดับไป เว้นโลกุตตรกุศล คือ เวลาที่โสตาปัตติมัคคจิตเกิดแล้วดับไป โสตาปัตตผลจิตต้องเกิดต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะว่าโสตาปัตตมัคคจิตเป็นการดับกิเลส ไม่ใช่จิตที่ทำให้เกิดผล คือ ปฏิสนธิ โสตาปัตติผลจิตไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ เหมือนอย่างวิบากของกุศลอื่นๆ ที่ทำกิจปฏิสนธิได้ ทำกิจภวังค์ได้ แต่โลกุตตรวิบากซึ่งเป็นผลของโลกุตตรกุศล ไม่ได้ทำกิจให้ปฏิสนธิ แต่ดับการเกิดในอบายภูมิแล้วดับการเกิด จนกระทั่งไม่เกิดอีกเลย เมื่อถึงอรหัตตมรรค มีจริง แต่ต้องอบรม เพราะผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจจะมีมากมาย นับไม่ถ้วน ในครั้งอดีตกาล
ท่านเหล่านั้นก่อนถึงระดับนั้น ก็เหมือนเรา จากความไม่รู้ ก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ รู้ จนกระทั่งถึงระดับขั้นรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ จากความเป็นปุถุชนก็สู่ความกัลป์ยาณปุถุชน แล้วอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม