จะละคลายความไม่รู้ได้อย่างไร
ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ความยึดถือนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นเรา ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง จนกว่าจะประจักษ์แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ก็ดับการไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน กิเลสทั้งหลายถึงจะค่อยๆ ลดน้อยลง ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง จะใช้วิธีอื่น ไม่มีทางเลยที่จะทำให้สิ่งที่สะสมมานานแสนนาน คือ ความไม่รู้จะกลายเป็นความรู้ โดยไม่ได้ฟัง ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องอดทน ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ตบะคือธรรมที่เผากิเลสด้วยความอดทน
ถ้าไม่รู้ แล้วจะให้ความไม่รู้นั้นหมดไป ให้เป็นปัญญาที่รู้ชัดประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เป็นได้อย่างไรด้วยความไม่รู้ ความไม่รู้ก็ไม่รู้ต่อไป จนกระทั่งอยากให้หมดไปโดยไม่รู้ นั่นก็คือความไม่รู้ ถ้าเป็นความรู้ขณะใดเกิดขึ้น ขณะนั้นค่อยๆ ละความไม่รู้ อย่างไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร พอฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม แต่เป็นรูปธรรมหรือเป็นนามธรรม
ตอนนี้ใครถามก็ตอบได้ว่า ธรรมคืออะไร ไม่ใช่ตอบไม่ได้ ก็พยายามไปตอบ แต่เป็นความเข้าใจที่จะให้เขาเข้าใจถูกต้องด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ตอบเฉยๆ ฟังแล้วพิจารณา ไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังหรือเปล่า ถ้าคำว่า “ธรรม” ทำไมไปคิดอย่างอื่นว่า ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจในขณะที่กำลังเห็นว่า เห็นมีจริงๆ ค่อยๆ ตามไปช้าๆ เห็นมีจริงๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม แล้วเกิดแล้วด้วยจึงได้ปรากฏ แต่ว่าไม่รู้ในขณะที่เกิด และไม่รู้ในขณะที่ดับ เพราะว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วต้องดับ
เพราะฉะนั้น ไม่รู้ความจริงอย่างนี้ เพราะเหตุว่าเพิ่งฟัง ถ้าใครก็ตามฟังแล้วรู้ความจริงอย่างนี้ น่าอัศจรรย์ คือถ้าไม่สะสมความรู้ที่จะเข้าใจได้ทัน ก็ต้องอาศัยการอบรม คือค่อยๆ ฟังไป จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ถ้าคิดว่า ฟังแล้วเมื่อไรจะรู้ความจริงอย่างนี้ นั่นก็ไม่ถูก เพราะเหตุว่าเป็นความเข้าใจที่ตรงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมจริงๆ แล้วหนทางที่จะเข้าใจขึ้น ลองพิจารณาว่า อาศัยอะไร ผู้ที่มีการเห็น แล้วมีการฟัง แล้วรู้ความจริงของสภาพธรรม ในอดีตก็มีแล้วมาก แต่ว่าหลังจากนั้นมาจนถึงสมัยนี้ การฟังของบุคคลครั้งโน้นกับครั้งนี้ก็ต่างกัน บุคคลในครั้งโน้นมีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากพระโอษฐ์ และได้สะสมปัญญามามาก ที่ไม่สงสัย สามารถรู้โดยรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่กำลังฟัง แล้วประจักษ์ได้
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่สามารถประจักษ์ความจริงเหมือนบุคคลในครั้งโน้น และไม่ใช่ทุกท่านด้วย ผู้ที่ฟังธรรมในครั้งโน้นก็ไม่ใช่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมทุกท่าน
เพราะฉะนั้น จะรู้ได้อย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า แล้วเราทำอย่างไร เราถึงจะรู้ได้ แต่ต้องพิจารณาถึงเหตุผลว่า เมื่อธรรมกำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วไม่รู้ จะอบรมเจริญอย่างไรให้ปัญญา คือ ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ได้ฟังเกิดขึ้น รู้แล้วใช่ไหมคะ ฟังต่อไปอีก พิจารณาสิ่งที่มีต่อไปอีก