จะกี่กัปป์ก็คือศึกษาสภาพธรรมในขณะนี้
ใน ๔ อสงไขยแสนกัปป หรือ ๒ อสงไขยแสนกัปป หรือ ๑ อสงไขยแสนกัปป หรือจะเป็นแสนกัปป หมื่นกัปป พันกัปป ร้อยกัปป หนึ่งกัปปก็ตามแต่ การศึกษาระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เป็นทางที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ไม่ใช่ในขณะอื่นเลย เห็นอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ระลึก ไม่ศึกษาจนเพิ่มความเข้าใจขึ้น ย่อมไม่สามารถที่จะประจักษ์ความเกิดดับของนามธรรมที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้สรส ที่คิดนึก ที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ความรู้สึกอื่นๆ เช่นโลภะ โทสะ โมหะ ความริษยา ความตระหนี่ ความฉลาด การที่สามารถที่จะเข้าใจ สิ่ง ๑ สิ่งใด ความคิด ตรึกไปต่างๆ
แต่ละลักษณะวิจิตมาก แต่สภาพธรรม เหล่านั้นทั้งหมด สติจะต้องระลึก รู้ชัด ประจักษ์ ในความเกิดดับ และความไม่ใช่ตัวตน ของสภาพธรรม แต่ละลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ว่า เหตุใดถึงต้องเป็น ๔ อสงไขยแสนกัปป หรือ ๒ อสงไขยแสนกัปป หรือ ๑ อสงไขยแสนกัปป เพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจ รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ได้ โดยง่าย แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมนั้นมีจริง จึงสามารถที่จะศึกษา และประจักษ์แจ้ง แทงตลอด ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ได้ โดยเพิ่มความเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ อย่าลืมคะ เพียงระลึก แล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่สามารถที่จะเห็น ความเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น แล้ว ธรรม ก็วิจิตมาก สะสมมาจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้เหิดความนึกคิดต่างๆ นานา ในแต่ละขณะ ซึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่ก่อนอื่น จะต้องเข้าใจ อรรถ คือความหมาย ของสภาพธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก เย็นปรากฏ ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือรู้เย็นนั่นเอง คะ เย็นก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น เย็นปรากฏขณะใด ใฝ่ใจ ใส่ใจ ศึกษาสังเกตุสภาพธรรม อีกอย่าง ๑ ซึ่งกำลังรู้เย็นในขณะนั้น เย็นจึงปรากฏได้ จึงจะสามารถเข้าใจสภาพธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ได้