การเห็นในขณะนี้เป็นสิ่งที่ปัญญาจะต้องรู้
การเห็นสิ่งอื่น กับการเห็นในขณะนี้ อะไรจริงกว่ากัน ที่ปัญญาจะต้องรู้ ขณะนี้จริงมาก ใช่ไหมคะ ที่กำลังเห็น นี่คะ อย่าคิดว่าไม่จริง ไม่ต้องไปทำเห็นอื่นขึ้นมาเพื่อคิดว่าขณะนั้น เป็นปัญญาที่คมกล้า รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่ขณะนี้กำลังเห็นอยู่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตามปกติ ควรที่ปัญญาจะรู้แจ้งในการเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่การเห็นภาคนิมิต หรือ การเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การเห็นจริงๆ แต่เกิดขึ้นเพราะการที่ให้จิตจดจ้องอยู่ที่อารมณ์ ๑ อารมณ์ใด จนปราศจากสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น อย่าปน อย่าถือว่าสมาธิ การจดจ้องที่อารมณ์ ๑ อารมณ์ใด ปราศจากสัมปชัญญะที่สมบูรณ์นั้น คือความสงบๆ จะต้องพร้อมด้วยสัมปชัญญะ ที่สมบูรณ์ เวลาที่เห็นสัตว์ เห็นบุคคล ใดๆ ตามปกติ สัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความเมตตาเพิ่มขึ้น กว้างขึ้น ไม่ใช่แต่คนที่รู้จัก หรือว่าผู้ที่เป็นที่รัก แต่ว่าไม่ว่าคนนั้นจะเป็นศัตรู หรือว่าเป็นบุคคลที่ไม่รู้จักเลย จิตใจของท่านในขณะที่พบบุคคคลนั้น ก็เป็นจิตที่อ่อนโยน มีความหวังดี มีความปรารถนาที่จะให้บุคคลนั้นเป็นสุข ขณะนั้นสภาพของจิตที่ประกอบด้วยเมตตา จะปรากฏลักษณะของความสงบซึ่งต่างกับขณะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ บางคนบอกว่าอดไม่ได้เลย ที่จะไม่พอใจในบุคคลอื่น เพียงเห็น นี่คะ หาที่ติแล้ว ไม่พอใจอย่างนั้นไม่พอใจอย่างนี้ โดยอัธยาศัยที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นก็ทราบความไม่สงบใจของตนเอง ว่าขณะนั้น เป็นอกุศล ถ้าไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าสภาพธรรม ที่ต่างกับอกุศลธรรมนั้น สามารถที่จะเกิดได้ เป็นความเมตตาได้ ทำไหมจึงเป็นความรู้สึกไม่พอใจ ในบุคลอื่น ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่จะรู้สึกอย่างนั้น แต่เพราะสะสมมาที่จะรู้สึกอย่างนั้น ความรู้สึกอย่างนั้นก็เกิดขึ้น แล้วบางท่านก็ใช้คำว่าหมั่นไส้ ไม่ว่าจะเห็นใครก็หมั่นไส้ ก็เป็นอัธยาศัยที่สะสมาที่จะเป็นอกุศลจิต แต่ว่าเมื่อรู้ว่าสภาพธรรม ที่ตรงกันข้าม กับความรู้สึกอย่างนั้นเป็นอย่างไร ก็อบรมเจริญความเมตตา นี่คะ ให้เพิ่มขึ้น มากขึ้นกว้างขึ้น ทั่วขึ้น นั้นคือการอบรมภาวนา ไม่ใช่สมาธิ แต่ว่าเป็นความสงบของจิต แต่ว่าความสงบของจิตซึ่งเป็นกุศล นี่คะ สามารถที่จะเจริญมั่นคง พร้อมกับสมาธิ เพิ่มขึ้นเป็น ลำดับ จนกระทั่งถึงเป็นอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิตามควรแก่เหตุคืออารมณ์นั้น