ธาตุและการระลึกรู้ธาตุโดยความเป็นธาตุ
ก็ต้องฟังแล้วก็เทียบเคียงแล้วพิจารณา สิ่งใดที่ไม่ได้เหตุผลก็ต้องทิ้งไป
สำหรับโดยความเป็นธาตุ มีปรากฏให้รู้ได้ตลอดเวลาที่กายนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไประลึกถึงโดยความเป็นปฏิกูล คำว่า ธาตุ หมายความถึง สภาพที่มีปรากฏแต่ละลักษณะตามความเป็นจริงของธาตุนั้นๆ ธาตุดินไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ธาตุไฟก็ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ดิน ไม่ใช่ลม จะเห็นได้ไม่ว่าจะพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง ภายนอกบ้าง ทั้งภายใน และภายนอกบ้าง ธาตุดินมีลักษณะแข็ง ธาตุไฟ มีลักษณะเย็นหรือร้อน ธาตุลม มีลักษณะตึงหรือไหว ปกติทุกคนก็มี เดินเมื่อยๆ เข้า มีตึง เป็นสิ่งที่ระลึกรู้ของจริงที่กำลังปรากฏ ไม่มีอะไรที่ผิดปกติหรือว่าต้องไปทำขึ้นเลย เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วทั้งนั้น ระลึกรู้ได้ เป็นธาตุแต่ละชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล บางส่วนของร่างกาย อย่างผม ไม่มีความเบา ความอ่อน ความควรแก่การงาน มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และรูปอื่นพอสมควร แต่ไม่ใช่มีความอ่อน ความเบา ความควรแก่การงาน เหมือนเวลาที่ส่วนอื่นของร่างกายสามารถที่จะเคลื่อนไหว เหยียด คู้ ได้ มีความอ่อน ความเบา ความควรแก่การงานด้วย เป็นลักษณะของธาตุนั่นเอง ไม่ใช่อีกรูปหนึ่งที่แยกออกไปจากธาตุนั้น อุปมาเหมือนทองที่เอาไปหล่อ และมีความอ่อนเกิดขึ้น ความอ่อนของทองก็ไม่ได้แยกออกไปจากตัวทอง ต้องอยู่ด้วยกันแต่เป็นลักษณะที่อ่อน ที่เบา ที่ควรแก่การงาน ไม่เหมือนกับทองที่ไม่ได้หล่อ ที่ไม่ได้อยู่ในเบ้าไฟ เป็นลักษณะหนึ่งของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อาจจะเกิดเพราะจิต เพราะอาหาร เพราะอุตุ ปรากฏทีละลักษณะ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละดวง ไม่ใช่พร้อมกันในจิตหรือสติขณะเดียว เพราะสติขณะหนึ่งก็ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพียงอย่างเดียว จะรู้ทั้งร้อนทั้งเย็นพร้อมกันไม่ได้ ขณะใดที่สติระลึกรู้ลักษณะที่ร้อน สติที่ระลึกรู้ลักษณะที่ร้อนต้องหมดเสียก่อน จึงจะระลึกรู้ลักษณะที่เย็นต่อไปได้