อสุภกับคุณค่าของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน


    ยังมีท่านผู้ฟังสงสัยอะไรในเรื่องนี้บ้างไหมคะ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ ตามความเป็นจริงว่า กุศลใดๆ ก็ไม่สามารถจะดับกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นคุณค่าของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ยิ่งขึ้น มากว่าอย่างอื่น เพราะถึงแม้ว่า จะไปเพ่งจ้องระลึกรู้ ความเป็น อสุภ ของซากศพ ก็ชั่วขณะที่จิตสงบ มั่นคง ถึงแม้ว่าจะถึง อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ คือสมาธิที่แนบแน่น มั่นคงในอารมณ์ ที่เป็นนิมิต จนกระทั่งไม่มีการเห็นการได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อื่นใดเลย นอกจากจดจ้องแนบแน่นที่นิมิตที่มั่นคงนั้น แต่ก็สภาพธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น เมื่อขณะจิตนั้นดับไป แล้ว ก็มีปัจัยที่จะให้อกุศลจิตเกิดขึ้นต่อไปได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่ปัญญาที่ สามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท เพราะฉะนั้น ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่ไปแสวงหาซากศพมาเพ่งจ้อง เพราะรู้ว่าไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลสได้ เป็น สมุจเฉท แต่ว่าชั่วขณะ ๑ ขณะ ๑ ที่มีชีวิตอยู่ ย่อมมีโอกาสหรือว่ามีกาละ ที่จะเห็น อสุภ คือซากศพ เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่เห็น ขณะนั้น นี่คะ ควรที่จะรู้สภาพจิตของตนว่าสงบไหม หรือว่าปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน เกิดไหม ไม่ว่าจะเห็น สิ่งใดทั้งสิ้น แม้ อสุภ เพราะว่าโดยปกตินั้น อสุภ ไม่ใช่สิ่งที่เจริญตา ที่ใครๆ ปรารถนา ที่จะดู หลายท่านทีเดียว คะ กลัว ตอนเป็นเด็ก ก็คงจะกลัวกันมากทีเดียว แล้วก็เมื่อโตขึ้น ก็แล้วแต่ว่า จะยังคงมีความกลัวเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นที่กลัว นี่คะ จิตไม่สงบ ถ้าไม่ศึกษาสภาพของจิตในขณะนั้น โดย โยนิโสมนสิการ แล้ว ความสงบย่อมเกิดไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟัง พระธรรม ได้เห็นจริงว่าทุกคนหนีไม่พ้น ลักษณะของ อสุภ นั้น ฉันใด ร่างกายของท่านก็ฉันนั้น ในวัน ๑ หรือแม้ในขณะนี้เอง ก็เปรียบเสมือน อสุภ ได้ ไม่มีความต่างกันเลย ถ้าน้อมระลึกอย่างนี้ได้จริงๆ ขณะนั้น จิตสงบ


    หมายเลข 4814
    3 ส.ค. 2567