อุปนิสสยปัจจัยหมวดที่ ๒ อนันตรูปนิสสยปัจจัย
ถ้าไม่มีข้อสงสัยในเรื่องของอารัมมณูปนิสสยปัจจัย
สำหรับอุปนิสสยปัจจัยที่ ๒คืออนันตรูปนิสสยปัจจัย คำอธิบายมีว่า เหมือนอนันตรปัจจัยคือ สภาพธรรม ได้แก่จิตและเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นและดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกขณะต่อไปเกิดขึ้นติดต่อกัน ไม่มีระหว่างคั่น และมีกำลังมากสำหรับอนันตรูปนิสสยปัจจัย
เพราะฉะนั้นสำหรับอนันตรูปนิสสยปัจจัย องค์ธรรม คือ สภาพธรรมที่เป็นปัจจัยเหมือนอนันตรปัจจัย ก็ได้แก่จิตทุกดวงและเจตสิกทุกดวงที่เกิดก่อน ๆ เว้นจุติจิตของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยให้จิตทุกดวงและเจตสิกทุกดวงที่เกิดหลัง ๆ เกิดขึ้น
ท่านผู้ฟังยังไม่เห็นกำลังของอนันตรปัจจัยใช่ไหมคะ เพราะเหตุว่าดูเป็นธรรมดาธรรมชาติ เมื่อเกิดมาแล้วไม่เคยขาดจิตเจตสิกเลย แต่ที่จิตเจตสิกขณะใดเกิดปรากฏมีกำลังขึ้น ให้ทราบว่าถ้าจิตดวงก่อนไม่ดับไป จิตดวงนั้นก็เกิดไม่ได้ ก็แสดงว่าการดับของจิตดวงก่อนมีกำลัง จึงทำให้จิตดวงหลังและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยนั้นเกิดขึ้นได้
ถ้าจะเอาอย่างย่อก็ย่อถ้าจะต้องการให้ละเอียดก็มีการที่จะพิจารณาเรื่องของอนันตรูปนิสสยปัจจัยว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นติดต่อกัน ไม่มีระหว่างคั่น และมีกำลังมาก
ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า การที่จะเห็นหรือจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ต้องในขณะที่สภาพธรรมนั้น ๆ กำลังปรากฏเช่นในขณะนี้ทุกครั้งที่ศึกษาเรื่องของธรรม จะไม่พ้นจากขณะนี้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมต้องกำลังปรากฏอยู่ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางคือทางตาหรือทางหูหรือทางจมูกหรือทางลิ้นหรือทางกายหรือทางใจซึ่งพร้อมที่จะให้พิสูจน์ แม้แต่อนันตรปัจจัย จิตและเจตสิกซึ่งเกิดและดับไปเป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิดขึ้น ดูเหมือนเป็นธรรมดา แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าอนันตรปัจจัยนั่นเอง เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง
เพราะฉะนั้นสำหรับอนันตรูปนิสสยปัจจัย ที่จะรู้หรือที่จะเข้าใจ ก็คือในขณะนี้เอง อนันตรปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นอนันตรูปนิสสยปัจจัย การเกิดขึ้นและดับไปของจิตดวงก่อนเป็นสภาพธรรมที่มีกำลังทำให้จิตและเจตสิกดวงต่อไปเกิดขึ้น พ้นจากขณะนี้ไหมคะ ? ถ้าไม่พิจารณา หรือไม่เจริญสติปัฏฐานไม่สามารถที่จะรู้ความสำคัญของอนันตรูปนิสสยปัจจัยเลย แต่ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ “เห็น”เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งแต่ท่านผู้ฟังก็ได้ยินเสียงอีก ไม่ใช่มีแต่เห็น เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงไม่ใช่ว่าต้องทำอะไรเลย ทุก ๆ ท่านนี้ ปกติธรรมดา แต่สติระลึกรู้ลักษณะของการเห็นว่า ต่างกับขณะที่ได้ยิน
เพราะฉะนั้นในขณะนี้เอง ไม่มีใครที่สามารถจะยับยั้งการเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็มีจิตทางทวารอื่น หลังจากที่ภวังคจิตเกิดคั่นแล้ว เกิดขึ้นได้ยินเสียงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะที่ทั้งดูเหมือนว่าเห็นด้วยและได้ยินด้วย ให้ทราบว่า จิตนี้เกิดแล้วดับไป แล้วก็เกิด แล้วก็ดับ สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ถ้าอารมณ์ไม่ปรากฏว่าเปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะรู้ได้ ว่า จิตเห็นต้องดับไป จิตได้ยินถึงจะกำลังได้ยินเสียงที่ปรากฏได้
เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้พิจารณาเรื่องของอนันตรูปนิสสยปัจจัยว่า การเกิดขึ้นและดับไปของจิตดวงก่อนเป็นสภาพธรรมที่มีกำลังที่ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิขณะ ซึ่งเป็นขณะแรกของจิตในภพนี้ ในชาตินี้