สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คืออย่างไร
ผู้ฟัง จะเรียนถามอาจารย์ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หนักๆ เข้า รู้สึกว่าเราไม่เข้าใจเองว่า มันคืออย่างไรกันแน่
ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้ว เราต้องเข้าใจคำที่เราใช้ด้วย ว่า อนัตตาหมายถึง ไม่ใช่ตัวตน คำว่า “เรา” เข้าใจได้ มีแน่นอนขณะนี้ แต่ไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีตัวตนจริงๆ แต่มีสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น จากการที่เคยเป็นเรามานานแสนนาน ก็เริ่มที่จะเข้าใจเมื่อได้ฟังพระธรรมว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือพื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจว่า เรากำลังศึกษาอะไร เรากำลังศึกษาสภาพธรรมที่มีจริงๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่เคยเป็นเรา เห็นเป็นเรา ได้ยินเป็นเรา คิดนึกเป็นเรา ขณะนี้ก็มีการเห็นบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมนี่หลากหลายมาก ทรงแสดงละเอียดขึ้น หลากหลายขึ้น จนกระทั่งเราสามารถที่จะเห็นว่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มีปรากฏในชีวิตประจำวัน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซ้ำไปซ้ำมา แต่สภาพธรรมแต่ละอย่างมีปัจจัยเกิดขึ้นปรุงแต่ง แต่ละขณะจะไม่เหมือนกันเลย เช่นขณะเมื่อกี้นี้กับขณะนี้ดูเหมือนกับว่าเห็นคนเดิม แต่ความจริงนั่นคือ ความไม่เห็นถูก ความไม่เข้าใจถูก ในลักษณะสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ เกือบจะเรียกได้ว่าทันที เร็วมาก แต่ว่ามีความทรงจำในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ จนกระทั่งเหมือนกับว่ามีสิ่งนั้นจริงๆ แม้ว่าไม่มีแล้ว แต่ก็ยังเข้าใจว่ามีได้ หรือเข้าใจว่ายังมีอยู่ นี่ก็คือความที่เป็นอัตตสัญญา การทรงจำว่ามีเรา หรือเป็นเรา
ผู้ฟัง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาหมายความถึงไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ บุคคล ถ้าจะเปรียบกับที่เรายึดกันอยู่นานๆ เป็นเรา ก็คือหมายความว่าสิ่งที่มันมีแล้วก็หายไปแล้ว เรื่องเมื่อวานมันก็ดับไปแล้ว ไม่กลับมา อย่างนั้น หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ นั่นเป็นความคิดนึกเรื่องราวของธรรม ซึ่งธรรมตัวจริงละเอียดกว่านั้นมาก เล็กน้อยกว่านั้นมาก แล้วก็ไม่มีเรื่องราวเลย เป็นแต่เพียงการทรงจำที่ทำให้คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เราเริ่มมองเห็นแล้วว่า แม้เราจะมีชีวิตอยู่ และก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรม เริ่มเห็นอวิชชา และเริ่มรู้สึกตัวว่า เราอยู่ในความมืดจริงๆ มืดสนิทตาบอด คือแม้ว่าสภาพธรรมมี แต่เพราะไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เหมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลย มีแต่ความเป็นเรา ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่มี
ผู้ฟัง หมายความว่าที่พระองค์ทรงแสดงว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือความจริง แต่พวกเราคงไม่สามารถจะรู้ไปจนถึงความจริงนั้น จนกว่าจะต้องอบรมจนมีปัญญาที่แก่กล้าอย่างนั้นใช่ไหม
ท่านอาจารย์ เพียงได้ยิน คำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ก็ผ่านไม่ได้แล้ว เพราะว่าผ่านจริง ทุกอย่างเป็นธรรม ได้ยินบ่อยๆ แต่พอเห็นเป็นอะไร เห็นไหมคะ เริ่มแสดงความต่างว่า เพียงขั้นฟัง เราฟัง และเริ่มเข้าใจได้จริง แต่เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ เราไม่ได้เข้าใจจริง ตามที่เราได้ยินได้ฟังมา เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะเป็นความรู้จริงของเราเอง ประโยชน์ของการศึกษาธรรม ก็คือว่า เป็นปัญญา เป็นความเห็นถูกของเรา ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น มิฉะนั้นการฟังธรรม การศึกษาธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเราไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้
ที่มา ...