พาหิยสูตร
ขอเปรียบเทียบกับพาหิยสูตร ในขุททกนิกาย อุทาน มีข้อความว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ใกล้พระนครสาวัตถี กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ในขณะที่พระองค์กำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี พาหิยกุลบุตรขอฟังธรรมในขณะที่ได้พบพระผู้มีพระภาค ครั้งที่ ๑ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะว่าพระองค์ยังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อบิณฑบาต ครั้งที่ ๒ เมื่อพาหิยกุลบุตรกราบทูลขอฟังธรรม พระองค์ก็ตรัสเช่นเดิม ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในกาลใดท่านไม่มี ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ลำดับนั้น จิตของพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยกุลบุตรด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้วเสด็จหลีกไป เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน แม่โคลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ให้ภิกษุยกสรีระของท่านไปเผาพร้อมกับทำสถูปไว้ เพราะเหตุว่า ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ สำหรับท่านพาหิยทารุจีริยะนี้ก็คงจะได้ทราบแล้วว่าท่านเป็นเอตทัคคะในการตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าได้ทรงแสดงไว้ในสูตรนี้ว่า ท่านหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาโดยย่อของพระผู้มีพระภาค แต่ว่าการสิ้นชีวิตของท่านการปรินิพพานของท่านนั้นก็โดยลักษณะเดียวกัน คือ แม่โคขวิด
นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็นว่า การบรรลุอริยสัจจธรรมนั้นเป็นปกติธรรมดา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นปัญญา ปัญญานั้นต้องรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงจะชื่อว่าปัญญา สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ปัญญารู้ได้ไหม ถ้ารู้ไม่ได้จะชื่อว่าปัญญาไหม กำลังเห็นในขณะนี้ปัญญารู้ได้ไหม กำลังได้ยินในขณะนี้ปัญญารู้ได้ไหม ถ้ารู้ไม่ได้จะชื่อว่าปัญญาไหม ก็ไม่ชื่อว่าปัญญา เพราะฉะนั้น ท่านที่เจริญสติปัฏฐาน ท่านก็จะได้ทราบด้วยตัวของท่านเองว่า ท่านเริ่มรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ คือกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก กำลังเป็นสุขเป็นทุกข์ ตามปกติธรรมดานี้บ้างแล้วหรือยัง ปกติธรรมดาจึงจะเป็นปัญญาที่รู้ได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้วรู้ไม่ได้ กำลังเห็นก็รู้ไม่ได้ กำลังได้ยินก็รู้ไม่ได้ ที่ไม่รู้นั่นไม่ใช่ปัญญา แต่ว่าถ้าเป็นปัญญาแล้วต้องรู้ได้