จิตเป็นสภาพรู้ นามรู้ที่มีจริงที่สติระลึกได้


    ไม่ใช่มีแค่เห็น แค่ได้ยิน แค่ได้กลิ่น แค่ลิ้มรส แค่รู้โผฏฐัพพารมณ์ ไม่ได้มีแค่นั้น ชีวิตวันหนึ่งๆ ไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น มีนามที่รู้ความหมายของสิ่งที่เห็น รู้ชื่อ รู้คำสมมติบัญญัติด้วย จริง เพราะฉะนั้นเป็นสติปัฏฐาน

    เข้าใจคำว่าปัจจุบันผิด เพราะเหตุว่า สังขารธรรมทั้งหลายได้แก่ จิต เจตสิก รูป จิตมีกี่ชนิด จิตไม่ใช่มีแต่จิตเห็น ไม่ใช่มีแต่จิตได้ยิน ไม่ใช่มีแต่ทวิปัญจวิญญาณจิต จิตอื่นก็มีมากมาย โลภมูลจิต โทสมูลจิต มหากุศลจิต ก็ล้วนแต่เป็นจิตทั้งนั้น ที่รู้ว่าเป็นพระพุทธรูปนี่จิตอะไร เป็นจิตหรือไม่ใช่จิต สภาพรู้ทั้งหมดเป็นจิต เป็นจิตประเภทไหน กามาวจรจิต อยู่ในมหาสติปัฏฐานไหม อยู่ในมหาสติปัฏฐาน แล้วทำไมจะไม่เป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไหม จิตทุกประเภท เจตสิกทุกชนิด รูป เป็นสังขารธรรม คือ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ในขณะที่กำลังปรากฏ สามารถที่จะเป็นเครื่องให้สติระลึกได้ แล้วทำไมจะไปกั้นปัจจุบันธรรม อะไร ที่ไหน อย่างไร ให้ผิดจากความเป็นจริง ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ได้ศึกษาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้น การศึกษา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง สอบทาน เทียบเคียง กับทั้งสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกด้วย จะปรากฏว่าไม่ค้านกันเลย เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงอย่างไรก็ได้ทรงแสดงไว้อย่างนั้น ถ้าเป็นธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ท่านผู้ที่ตรวจสอบทานดูก็จะเห็นได้ว่า ตรงกับสภาพความเป็นจริง


    หมายเลข 4931
    2 ส.ค. 2567