หนทางแก้กิเลสมี แต่ไม่แสวงหา ก็โทษใครไม่ได้
ข้อความต่อไปมีว่า เมื่อมีความเจริญ แม้ความเสื่อม ก็จำต้องปรารถนา อุปมาเหมือนเมื่อมีทุกข์ แม้ชื่อว่าสุขก็ย่อมมีได้ เมื่อมีไฟ ๓ อย่างคือราคะ โทสะ โมหะ นิพพาน ธรรมที่ดับไฟ ก็จำต้อง ปรารถนา อุปมาเหมือนเมื่อมีร้อน ก็ย่อมมีเย็นแก้ เมื่อมีความเกิด ก็จำต้องปรารถนาความไม่เกิด อุปมาเหมือน แม้เมื่อมีความชั่ว ถึงความดี ก็ย่อมมีได้ เมื่อ
มีน้ำสำหรับล้างมลทิน คือกิเลส อยู่ในสระ คือ อมตะ บุคคลไม่แสวงหาสระนั้น จะโทษสระคือ อมตะ ได้ไฉน อุปมาเหมือนบุรุษที่ตกหลุมคูถ เห็นสระซึ่งมีน้ำขังอยู่เต็ม แล้วไม่แสวงหาสระนั้นจะโทษสระได้ไฉน เมื่อหนทางอันปลอดโปร่ง มีอยู่ บุคคลผู้ถูกกิเลสล้อมไว้แล้ว ไม่แสวงหา หนทางนั้น จะโทษหนทางอันปลอดโปร่งนั้น ได้ไฉน อุปมาเหมือนบุรุษผู้ถูกพวกข้าศึกล้อม ไว้รอบด้าน เมื่อหนทางสำหรับจะหนีไปได้ มีอยู่ ย่อมไม่หนี เอาตัวรอด จะโทษหนทางได้ไฉน บุคคลผู้มีระทมทุกข์ ถูกพยาธิ คือกิเลสบีบคั้น ไม่แสวงหาอาจารย์ จะโทษอาจารย์ผู้แนะนำนั้นได้ไฉน อุปมาเหมือนบุรุษผู้เจ็บป่วย เมื่อหมอผู้รักษามีอยู่ ไม่ให้หมอรักษาพยาธินั้น จะโทษหมอผู้เยียวยานั้นได้ไฉน โทษใครไม่ได้เลย ถ้าท่านจะจากโลกนี้ไปด้วยความหลง ก็เป็นเพราะ อกุศล กิเลส หรือว่าความผิดของตนเองเท่านั้น