ปุเรภัตตกิจ - ปัจฉาภัตตกิจของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น สำหรับในวันนี้ ขอกล่าวถึงข้อความใน ปรมัตถโชติกา อรรถกถา สุตตนิบาต อุรควรรค กสิภารทวาชสูตรซึ่งมีข้อความที่กล่าวถึง ปุเรภัตตกิจ และปัจฉาภัตตกิจของพระผู้มีพระภาค
สำหรับปุเรภัตตกิจ คือ กิจก่อนการเสวยภัตต และปัจฉาภัตตกิจ คือกิจหลังจากที่ได้เสวยพระกระยาหารแล้ว แต่ว่าหมายความถึงตอนเช้ากับตอนบ่าย ปุเรภัตตกิจ หมายความถึงตอนเช้า และปุจฉาถัตตกิจคือกิจหลังจากที่เสวยพระกระยาหารแล้วก็เป็นกิจในตอนบ่าย ข้อความใน อรรถกถา มีว่า ในพระสูตรนั้น จะพึงมีคำถามว่า ปุเรภัตตกิจของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นไฉน ปัจฉาภัตตกิจของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นไฉน เฉลยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทรงกระทำการบริกรรม สรีระ ยมีการล้างพระพักตร์เป็นต้น เพื่อจะอนุเคราะห์แก่อุปัฏฐาก และเพื่อความผาสุกแห่งพระวรกาย ทรงปล่อยเวลาให้ล่วงไปที่เสนาสนะอันสงัด จนกระทั่งถึงเวลาเสด็จบิณฑบาต ในเวลาเสด็จบิณฑบาต ทรงนุ่งจีวร คือสบง แล้ว ทรงคาดประคดเอว ห่มจีวร ทรงถือบาตร บางคราวเสด็จเข้าไปในบ้าน หรือนิคมเพื่อบิณฑบาตแต่พระองค์เดียว บางคราวก็มีพระภิกษุสงฆ์ไปด้วย บางคราวเสด็จไปโดยปกติ แต่บางคราวเสด็จเข้าไปด้วยการแสดงอภินิหารเป็นเอนก คืออย่างไร คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปเพื่อบิณฑบาต ลมออ่นๆ พัดมาแต่เบื้องหน้า ชำระแผ่นดินให้สะอาด เมฆฝนโปรย ลงมา ทำให้ฝุ่นละะอองในบนหนทางสงบราบคาบ แล้วก็ลอยเป็นเพดานอยู่ชั้นบน อาจารย์อีกพวก ๑ กล่าวว่า ลมทั้งหลายได้พัดเอาดอกไม้ทั้งหลาย มาเกลี่ยลงบนหนทาง ภูมิประเทศซึ่งร้อน ก็เย็นลง ภูมิประเทศซึ่งเย็นก็อุ่นขึ้น ในขณะที่ย่างพระบาทไป พื้นแผ่นดินก็เสมอราบเรียบ หรือว่าดอกบัวทั้งหลายซึ่งสัมผัสสบาย มารับที่พระบาท เมื่อพระบาทเบื้องขวา สักว่า พอวางภายในเสาเขื่อน คือพอย่างเข้าเขตเมือง ฉัพพัณณรังสีก็แผ่ออกจากพระสรีระ ซ่านไป ทางทิศโน้นบ้าง ทิศนี้บ้าง ประดุจสีทอง และสีเหลืองจับสถานที่ทั้งหลาย มีปราสาท และเรือนยอดเป็นต้น สัตว์ทั้งหลายมีช้างม้า และนกเป็นต้น ซึ่งยืนอยู่ในที่ของตนนั่นเอง ก็เปล่งเสียงด้วอาการอันไพเราะ เครื่องดุจดุริยางค์มีกลอง และพิณเป็นต้น และเครื่องอาภรณ์ที่ประดับกายของมนุษย์ทั้งหลาย ก็มีเสียงด้วยอาการอันไพเราะ เหมือนลมพวก มนุษย์ทั้งหลายย่อมรู้ได้ด้วยสัญญาณนั้น ได้ว่า วันนี้ พระผู้มีพระภาคเสด็จมาบิณฑบาตในที่นี้ พวกมนุษย์ ทั้งหลายเหล่านั้นนุ่งเรียบร้อย ห่มเรียบร้อย ถือเอาวัตถุทังหลาย มีดอกไม้ และของหอมเป็นต้นออกจากเรือน ปัดกวาดถนนหนทาง บูชาพระผู้มีพระภาคด้วยวัตถุทั้งหลาย มีดอกไม้ และของหอมเป็นต้นโดยเคารพ ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงประทานภิกษุ ๑๐ รูปแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์จงประทาน ภิกษุ ๒๐ รูปแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์จงประทาน ภิกษุ ๑๐๐ รูปแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เมื่อรับบาตรแม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วให้ ปูอาสนะ แล้วน้อมบิณฑบาตเข้าไปด้วยเคารพ พระพุทธเจ้า ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว ก็ทรงตรวจดูสันดานของสัตว์เหล่านั้นแล้วจึงทรงแสดงธรรมโดยประการที่มนุษย์ บางพวกตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ บางพวกตั้งอยู่ในศีล บางพวกบรรลุ อริยผล มีโสดาบัน สกทาคามี และอนาคามิผลอย่างใดอย่างหนึ่ง บางพวกก็บวชแล้วสำเร็จพระอรหัต อันเป็นผลอันเลิศ พระผู้มีพระภาค ทรงอนุเคราะห์ชน ในประการนั้นแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ แล้วเสด็จไปยังพระวิหาร ทรงประทับนั่งบนพุทธอาสน์อันบวร ซึ่งเขาปูไว้แล้ว ซึ่งมีดอกไม้เป็นมณฑลในที่นั้นๆ ทรงคอยให้ภิกษุทั้งหลายฉันภัตกิจเสร็จอยู่ ต่อจากนั้นอุปัฏฐากก็กราบทูลให้พระผู้มีพระภาค ทรงทราบถึงการเสร็จภัตกิจของภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงเสด็จไปยัง พระคันธกุฎี ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงกระทำปุเรภัตกิจเสร็จแล้ว อย่างนี้ ทรงประทับนั่งแล้ว ณ ที่อุปัฏฐานะ และที่ใกล้แห่ง คันธกุฎี ทรงล้างพระบาท ทรงประทับยืน บนตั่งสำหรับยืน ย่อมให้โอวาทพระภิกษุสงฆ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพึงยังตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าเป็นของยากในโลก การกลับได้เป็นมนุษย์ก็เป็นของยาก ความถึงพร้อมด้วยศรัทธาก็เป็นของยาก การได้บรรพชาก็เป็นของยาก การฟังพระธรรมก็เป็นของยากดังนี้ สั้นมาก คือว่าเพียงแต่ ท่านทั้งหลายพึงยังตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด นี้เป็นพุทธโอวาท แต่ว่าพระภิกษุทั้งหลาย ท่านก็ได้รับฟังพระธรรมมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ท่านก็ย่อมเข้าใจว่า ความหมายของ พึงยังตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท นั้นคืออย่างไร ในการที่จะเจริญกุศลทุกประการ ทั้งทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะคือไม่หลงลืมสติ ระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต่อจากนั้น ภิกษุทั้งหลายก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ทูลถามพระกรรมฐาน ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาค จึงประทานพระกรรมฐานด้วยสามารถแห่งจริยาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเรียนพระกรรมฐานแล้ว ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้วก็ไปยังที่อยู่ของตน ภิกษุ บางพวกเข้าไปสู่ป่า บางพวกไปยังโคนไม้ บางพวกไปยังสถานที่ทั้งหลาย มีภูเขาเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง บางพวกไปยังภพของเทวดาทั้งหลายมีเทวดาชั้น จาตุมหาราชเป็นต้น บางพวกไปยังสวัตดีภพ ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี ถ้าหากว่าพระองค์ จะทรงหวังอยู่ ก็ทรงมีพระสัมปชัญญะสำเร็จสีหไสยาสน์ โดยเบื้องขวา สักครู่ ๑ ต่อจากนั้นพระองค์ ผู้มีพระวรกาย อันสงบระงับแล้ว เสด็จลุกขึ้น แล้วทรงตรวจดูสัตว์โลกในภาคที่สอง