พระพุทธเจ้าทรงประทานพระกรรมฐานคือสติปัฏฐาน
มีท่านผู้ฟังสงสัย อะไรไหมคะในตอนนี้ ที่ว่า ต่อจากนั้นภิกษุทั้งหลาย จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วทูลถามพระกรรมฐาน ถ้าฟังดูเผินๆ อาจจะเข้าใจว่าไปขอกรรมฐาน เฉพาะหมวดใดหมวด ๑ ตามที่อาจจะเคยคิด เคยเข้าใจ แต่ถ้าเข้าใจความหมายของกรรมฐาน หมายความถึงสติปัฏฐาน สภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เป็นกรรมฐานของสติ ที่สติจะระลึก จะศึกษา จะพิจารณา รู้ในความจริงของสภาพธรรม นั้นว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะไม่มีข้อสงสัย ที่ว่าภิกษุ ทูลถามพระกรรมฐาน คือถามเรื่องของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ที่เป็นอารมณ์ของสติ เป็นที่ตั้งของสติ พระผู้มีพระภาค จึงประทานพระกรรมฐานด้วยสามารถแห่งจริยาแก่ภิกษุทั้งหลาย พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยของผู้ฟังว่า มีจริต อัธยาศัยที่สะสมมาต่างกัน อย่างไร เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงจึงเหมาะกับบุคคลที่ไปฟังพระธรรมจากพระโอฐว่า ธรรม ข้อใดประการใด จะเหมาะควรกับ อัธยาศัย แก่จริตของบุคคลนั้น ที่จะทำให้เข้าใจ แล้วก็ทำให้มีการละคลายการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน เพราะว่าแต่ละท่านก็ได้ฟังเรื่องของนามธรรม รูปธรรม ที่กำลังปรากฏ ทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ อยู่เรื่อยๆ แล้วเวลาที่สติเกิด ก็จะระลึกรู้ได้ว่า เป็นสภาพธรรม ที่ต่างกันไปในวัน ๑ วัน ๑ ชีวิตเมื่อวานนี้ นามธรรม และ รูปธรรม เมื่อวานนี้ กับชีวิตในวันนี้ นามธรรม และรูปธรรม ในวันนี้ มีลักษณะต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัย เมื่อวานนี้อาจจะมีความทุกข์ แต่วันนี้เรื่องทั้งหลายก็คลี่คลาย หายไป หมดความทุกข์นั้นไป อาจจะกำลังมีความสุขในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ แต่ว่าก็คงจะมีไม่นาน พรุ่งนี้หรือว่าเดือนหน้าต่อไป ก็คงจะต้องมีเหตุการณ์อื่นซึ่งล้วนแต่เป็น นามธรรม และรูปธรรมทั้งนั้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ไกลแล้วก็ไม่ใช่ขณะอื่น นอกจากขณะที่กำลังเป็นจริง ในขณะนี้แต่ละขณะ แล้วแต่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เป็นสภาพธรรม ที่เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรม ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้น เพราะฉะนั้น นี่คือกรรมฐาน หรือสติปัฏฐาน