รู้ลักษณะของรูปที่เกิดจากสมุฏฐานใดได้หรือไม่
ผู้ฟัง ข้อที่ว่า ให้รู้ความเกิดของปฐวีธาตุ และความดับของปฐวีธาตุ เหมือนกับให้รู้ความเกิด และความดับของรูป สงสัยว่า รูปนี้เป็นจิตตชรูป หรืออาหารชรูป หรืออุตุชรูป หรือกรรมชรูป ในตำราต่างๆ ก็ใช้คำว่า รูปเกิดดับเท่ากับ ๑๗ ขณะ หรือ ๕๑ ขณะเล็กของนาม
ท่านอาจารย์ ปฐวีได้กล่าวไว้คราวก่อน หมายความถึงรูปที่มีลักษณะแค่นแข็ง ถ้าจะใช้คำว่า อ่อนบ้าง แข็งบ้างก็ได้ นั่นเป็นลักษณะของปฐวีธาตุ และสำหรับรูป มีทั้งหมด ๒๘ รูป ก็ได้จัดแบ่งเป็นประเภท เป็นพวกว่า รูปใดเกิดขึ้นจากกรรม เกิดขึ้นจากจิต เกิดขึ้นจากอุตุ เกิดขึ้นจากอาหาร เพราะเหตุว่าสมุฏฐานนั้นมี ๔ สมุฏฐาน แต่ผู้เจริญสติ สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปก่อน จะรู้ไหมว่าขณะนั้นเป็นรูปที่เกิดจากกรรม หรือเกิดจากจิต หรือเกิดจากอุตุ หรือเกิดจากอาหาร ไม่รู้ เพราะว่า ปัญญาต้องเริ่มเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ขั้นแรกที่สุด ขอให้รู้ลักษณะของรูปแต่ละรูปที่กำลังปรากฏ ที่กล่าวว่าเกิด ก็เพราะเหตุว่า ทุกอย่างมีปัจจัยทำให้เกิดแล้วดับ ไม่ใช่ว่าตั้งอยู่ให้รู้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในขณะที่สติระลึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็หมายความว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ และเมื่อรู้ลักษณะนั้นมากขึ้นก็จะรู้ด้วยว่า ขณะนั้นสติกำลังระลึกรู้ลักษณะของรูปชนิดใด แล้วรูปชนิดนั้นก็ไม่ได้ตั้งยั่งยืน ปรากฏแล้วก็หมดไป จะให้สติไปตามรู้อยู่เรื่อยๆ ได้ไหม ไม่ใช่ของจริงใช่ไหมโดยลักษณะนั้น โดยลักษณะที่ให้จิตไปจดจ้องรู้อยู่ที่รูปเดียวตลอดเวลา นั่นไม่ใช่ลักษณะที่เป็นจริงของรูป ไม่ใช่ลักษณะที่เป็นจริงของนาม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับอยู่เรื่อยๆ จะสังเกตได้ว่า ผู้ที่เจริญสติ สติระลึกรู้ลักษณะของรูป ไม่ใช่มีตลอดเวลา และรูปนั้นก็ดับ สติก็ดับ แล้วสติก็ระลึกรู้ลักษณะของรูปอื่นหรือว่านามที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก็ได้ ไม่ใช่ว่าให้สติไม่ดับ ให้รูปไม่ดับ ให้รู้ไปอยู่เรื่อยๆ จดจ้องอยู่อย่างนั้น นั่นไม่ใช่ความจริง นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริง การรู้อย่างนั้นไม่ใช่รู้สิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นโดยการศึกษา ศึกษาจากพระปัญญาคุณที่ได้ทรงแสดงธรรมไว้ตามความเป็นจริงโดยละเอียด ซึ่งผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้เกิดปัญญารู้ชัดจะต้องเริ่มเป็นลำดับขั้น ด้วยปัญญาของตนเองเข้าถึงอยู่ ไม่ใช่เอาปัญญาของท่านผู้อื่นมากระทํา ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะไปรู้ว่า รูปหนึ่งดับไป เท่ากับขณะเล็กของจิต ๕๑ ขณะ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของรูป ยังไม่ได้รู้ลักษณะของนาม ยังไม่ได้ละคลายความไม่รู้ความสงสัยในนามรูปทั้ง ๖ โลกซึ่งเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จะตั้งกฎเกณฑ์เป็นอัตตาที่จะไปประจักษ์อย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้