ไปที่ไหนก็ไปแต่ต้องเป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐาน
ที่ไปไปทำไม เวลานี้ไม่มีรูปนามหรือ ทำไมไม่ระลึก เพื่อให้สั้นที่สุด มีปรากฏในพระไตรปิฎกไหม ถ้าไม่มีก็ไม่ควรจะสนใจ ใครจะเป็นยังไงเรื่องของนอกพระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องของนอกพระไตรปิฎก บุคคลในครั้งโน้นจะไปที่ไหน ก็เป็นผู้มีปกติจะเจริญสติ ไม่ใช่ห้ามการไป ไปวัด ไปบ้านเพื่อน ไปธุระ ไปที่ไหน ก็ต้องไป เกิดมาแล้วไม่ไปไม่มี ไป แต่ว่าเป็นผู้มีปกติเจริญสติ ไม่ใช่เป็นผู้เข้าใจผิดคิดว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้นอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ชีวิตปกติประจำวันรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ บุคคลในครั้งโน้นไม่ได้เข้าใจผิดอย่างนี้ เพราะเหตุว่าบางท่านกล่าวอีกกล่าวว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันก็เจริญได้ แต่ไม่ได้ผล ลืมไป ว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานนั้นคืออะไร การที่ปัญญารู้ลักษณะของนาม และรูปแต่ละขณะ แต่ละอย่าง ตามปกติ จนกระทั่งชินขึ้น มากขึ้น คมกล้าขึ้น นั่นเป็นปัญญาใช่ไหม เป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานใช่ไหม ชื่อว่าได้ผลไหม ถ้าขณะนี้สติของใครจะระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูป ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่สติจะระลึกบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ปัญญารู้ชัดขึ้น คมกล้าขึ้น ละได้เป็นอนัตตา ไม่มีใครจะสามารถกฏเกณฑ์ได้ว่า จะต้องบรรลุมรรคผล อินทรีย์แก่กล้า ที่นั่น ที่นี่ ซึ่งไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฏกว่าจะต้องเป็นที่นั่น หรือที่นี่ เพราะฉะนั้นแม้แต่ผลของการเจริญสติปัฏฐาน บุคคลที่กล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานทุกขณะจิตที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปชัดเจนขึ้น เพิ่มขึ้นมากขึ้น นั่นเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็ความเป็นอนัตตาของสติ ความเป็นอนัตตาของญาณแต่ละขั้น ความเป็นอนัตตาของอินทรีย์ที่แก่กล้า ไม่เคยมีจำกัดว่าเฉพาะที่นั่นหรือที่นี่ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็เป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญพิจารณา แล้วก็ให้ทราบจริงๆ ว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานนั้น คือเมื่อไร ขณะไหน ถ้าไม่รู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏ จะชื่อว่าเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ไหม แม้แต่รูปที่ท่านไปเพียรรู้กัน ตรงตามรูปที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกไหม รูปที่กล่าวว่าอย่ารู้นั้น มีอยู่ในพระไตรปิฏกว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏ ใช่ไหม