ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรม ก็เข้าใจบัญญัติได้
ผู้ฟัง รูปไม่รู้อารมณ์ ผมก็ขยายความให้คนรอบข้างคำว่าไม่รู้อารมณ์ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นรูป แล้วเขาก็ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นเสียง ไม่หนาว ไม่ร้อน จะถูกต้องประการใดครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ รู้สึกว่าถ้าเราเข้าใจว่าอะไรเป็นปรมัตถธรรม ก็พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นบัญญัติ เช่นในขณะนี้ เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้จริงๆ อย่างที่พูด หรือเปล่าว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าปกติเราจะตอบว่าเห็นอะไร
ผู้ฟัง ดิฉันเห็นแจกันดอกไม้ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เห็นแจกันดอกไม้ เริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่าอะไรจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาจริง แต่ความทรงจำรูปร่างสัณฐานเป็นแจกัน ความทรงจำรูปร่างสัณฐานว่าเป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นแจกัน และดอกไม้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่เป็นบัญญัติ
บัญญัติหมายความถึงสภาพธรรมใดก็ตามที่จิตรู้ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม ถ้าเป็นปรมัตถธรรมเช่น ถามว่าแข็งไหม คนที่ขณะนั้นมีแข็งปรากฏ ก็ตอบว่าแข็ง ขณะนั้นแข็งเป็นปรมัตถธรรม แต่ปัญญาไม่ได้รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม แต่สามารถรู้ลักษณะที่แข็งได้ แต่เมื่อรู้ลักษณะที่แข็งแล้ว ก็ยังทรงจำด้วย ไมโครโฟน เก้าอี้ โต๊ะ พวกนี้ อะไรก็ตามที่จิตกำลังรู้ แต่ไม่ใช่ลักษณะของปรมัตถธรรมหนึ่งปรมัตถธรรมใด สิ่งที่มีที่จิตกำลังรู้ขณะนั้น เป็นบัญญัติ
เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้ได้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย เราอยู่ในโลกของบัญญัติ ก่อนจะนอนคิดเรื่องอะไร บัญญัติ หรือว่าคิดเรื่องปรมัตถ์ หรือรู้ลักษณะที่แข็ง หรือว่ารู้ลักษณะที่เป็นเสียง เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาเพิ่มขึ้นจะรู้ได้ว่าขณะนั้นจิตกำลังมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ หรือว่าขณะนั้นจิตมีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ เป็นอารมณ์ และผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง พอตื่นขึ้นมาจิตมีอะไรเป็นอารมณ์ เสียงนาฬิกาปลุก เป็นเสียงที่เป็นปรมัตถ์ หรือว่าขณะนั้นเป็นเรื่องเสียงนาฬิกาปลุก
อ.วิชัย ถ้าเสียงมีจริงครับ แต่ถ้าคิด ก็เป็นเรื่องนาฬิกาปลุก
ท่านอาจารย์ เสียงมีจริง แต่ขณะนั้นปัญญารู้ว่าเสียงเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หรือเปล่า เพราะจริงๆ ถ้าจะรู้อย่างนั้น ต้องประกอบด้วยธรรมอีกประเภทหนึ่งคือ สติสัมปชัญญะที่จะรู้ตรงลักษณะนั้น แล้วไม่มีอะไรเลย แต่นี่มีนาฬิกาปลุก เพราะฉะนั้นในขณะนั้นเราอาจจะไม่ได้รู้ว่าคิดแล้ว ทั้งๆ ที่เสียงเป็นปรมัตถ์มี
เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วคำว่าปรมัตถธรรม หมายความถึงสภาวธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะที่ต่างๆ กันไปในขณะที่กำลังปรากฏ นี่คือเราชินกับโลกบัญญัติทั้งๆ ที่ความจริงแล้วถ้าไม่มีปรมัตถธรรม บัญญัติก็ไม่มี ไม่มีเสียง จะไปมีนาฬิกา หรือเสียงนาฬิกาได้อย่างไร ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเห็นเป็นคน เป็นรถยนต์ เป็นถนนหนทางได้ยังไง
เพราะฉะนั้นปรมัตถธรรมมีจริง แต่เพราะไม่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม จึงทรงจำ หรือว่าจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเป็นเรื่องราวตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ได้ฟังธรรม อยู่ในโลกของสมมติบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอะไรเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในความคิดของเขาก็คือมีญาติพี่น้องจริง มีโรงเรียน มีถนนหนทาง มีทุกอย่างจริง แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วถ้าไม่มีปรมัตถธรรม สิ่งใดๆ ก็มีไม่ได้
ที่มา ...