บัญญัติเป็นปกตูปนิสสยปัจจัย


    มีข้อสงสัยอะไรไหม ?

    ถ้าไม่มีก็จะขอกล่าวถึง“บัญญัติ” เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดกุศล อกุศลและอัพยากตธรรม

    เริ่มตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นในวันหนึ่งๆ ให้ทราบว่า เป็นวิถีจิตซึ่งรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏทางหนึ่งทางใด คือทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เวลาที่ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อเป็นไป ไม่มีการรู้อารมณ์ใด ๆของโลกนี้ทั้งสิ้น จะรู้ได้ในขณะที่เป็นลมหมดสติ หรือในขณะที่นอนหลับสนิทไม่ฝันอารมณ์ต่างๆในโลกนี้ไม่ปรากฏเลย ไม่เห็นสีสันวัณณะของโลกนี้ ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ได้คิดนึกเรื่องราวต่างๆ แต่ขณะใดก็ตามที่ตื่นขึ้น ขณะนั้นไม่ใช่ภวังคจิต เป็นวิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้นหรือทางกาย หรือทางใจ

    ในวันหนึ่ง ๆ ขอให้พิจารณาว่า ตื่นขึ้นอย่างมีสติสัมปชัญญะ หรือว่าตื่นขึ้นด้วยความหลงลืมสติ ตามความเป็นจริง

    บุคคลที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน จนกระทั่งมีปกตูปนิสสยปัจจัยที่ตื่นพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะก็มี แล้วผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานถึงขั้นนั้น ในวันหนึ่ง ๆ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ตื่นขึ้นด้วยความหลงลืมสติ ไม่ใช่ด้วยการมีสติ

    สำหรับผู้ที่ตื่นขึ้นอย่างมีสติ หรือด้วยสติสัมปชัญญะ จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นปรมัตถธรรม แล้วแต่ว่าขณะนั้นอาจจะเป็นเสียงหนึ่งเสียงใดก็ได้ แต่รู้ในลักษณะของเสียง ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สำหรับผู้ที่หลงลืมสติก็ตื่นขึ้น มีเสียงเป็นอารมณ์ได้ แต่ไม่รู้ลักษณะของเสียงว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏกับนามธรรม ซึ่งกำลังรู้เสียงในขณะนั้น

    สำหรับผู้ที่ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นปรมัตถธรรม ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล เพราะเหตุว่ามีสภาพรู้ซึ่งกำลังได้ยินเสียง แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้ตื่นพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ แม้เสียงปรากฏก็ไม่รู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเราซึ่งกำลังได้ยินเสียง

    ชีวิตประจำวันจริงๆ ตื่นแล้วยังคงนอนต่อไปอีกเรื่อย ๆ นาน ๆ ตลอดไปได้ไหมคะ ตามความเป็นจริง ได้กี่วันท่านที่ตอบว่าได้ ได้กี่วัน ท่านที่ตื่นแล้วนอนต่อไปอีกเรื่อย ๆได้ไหม เพราะอะไร มีเหตุมีปัจจัยทั้งนั้น แม้แต่ท่านตื่นมาแล้ว จะทำอะไร ไม่พ้นจากปัจจัยทั้งนั้นนอนต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะอะไร

    เมื่อมีกาย ซึ่งเป็นรูปต่าง ๆ ซึ่งเกิดดับประชุมรวมกันเป็นกาย ก็ย่อมเป็นที่รวมของทุกข์ โทษภัยทุกประการตั้งแต่ความไม่สะอาด เพราะฉะนั้นจะนอนต่อไปอีกไม่ได้แน่นอนใช่ไหมคะ หิวก็นอนต่อไปไม่ได้ แต่ก่อนที่จะรับประทานอาหารก็จะต้องมีการบริหารร่างกาย ทำความสะอาดร่างกาย ขณะนั้นถ้าไม่มีอรรถบัญญัติ คือการรู้ความหมายของสภาพธรรมอื่น ๆ ซึ่งเกื้อกูลแก่การบริหารรักษาร่างกายชีวิตย่อมดำรงต่อไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า นอกจากปรมัตถธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนแล้ว ก็ยังจะต้องมีนามธรรมซึ่งรู้อรรถ คือ ความหมายซึ่งเป็นบัญญัติของปรมัตถธรรมนั้นๆ ชีวิตจึงจะดำเนินต่อไปได้ เพราะฉะนั้นการรู้ความหมาย คือ อรรถและบัญญัติต่างๆจึงเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยที่จะทำให้เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต

    บุคคลเป็นอรรถ เป็นความหมาย เป็นบัญญัติ หรือเป็นปรมัตถธรรม ?

    บุคคลต่าง ๆเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลก็ได้อกุศลก็ได้เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะ ชอบบุคคลนี้

    เป็นปัจจัยให้เกิดโทสะไม่ชอบบุคคลนี้เป็นปัจจัยให้เกิดริษยาบุคคลนี้หรือว่าเป็นปัจจัยให้เกิดมัจฉริยะ ความตระหนี่เกิดขึ้นเมื่อเห็นบุคคลนี้ก็ได้ หรือว่าเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลจิต เกิดเมตตากรุณา หรือเกิดความเคารพนับถือ เกิดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในบุคคลนั้นก็ได้

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ชีวิตประจำวันนี้มีทั้งสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถ์ เกิดแล้วยังต้องมีขณะที่รู้อรรถหรือรู้ความหมายของปรมัตถธรรมนั้น ๆ ชีวิตจึงจะดำเนินต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญา ต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะใด อารมณ์ที่กำลังปรากฏเป็นปรมัตถธรรม ขณะใดเป็นจิตซึ่งกำลังมีอรรถ ความหมายหรือบัญญัติ เป็นอารมณ์ เพื่อที่จะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนจริง ๆ

    แต่ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ที่ยึดถือว่าเป็นคนนี้ เป็นอรรถ เป็นบัญญัติ เป็นการรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็ยังคงยึดถือบุคคลว่าเป็นสภาพธรรมที่ยั่งยืนหรือเป็นตัวตน ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หรือทางหู หรือการกระทบสัมผัสทางกาย

    เพราะฉะนั้นอรรถบัญญัติต่างๆ ก็เป็นปกตูปนิสสปยัจจัย เป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้

    ถ้าใครเกิดมาไม่รู้อรรถ ความหมายของสภาพธรรมที่ปรากฏ จะมีชีวิตอยู่ได้ไหมลองคิดดู ไม่จำเป็นต้องใช้เสียง เวลาที่เข้าใจอรรถ คือความหมายของสิ่งที่ปรากฏ เพราะแม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ยังมีชีวิตดำรงไปด้วยการกิน อยู่ หลับนอนได้ เพราะรู้อรรถคือความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย


    หมายเลข 5113
    28 ส.ค. 2558