แต่ละขณะที่ได้ฟังแล้วเข้าใจเป็นประโยชน์สูงสุด
ถ้าได้ฟังเมื่อแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ขณะนี้สบายมากเลย พอพูดถึงเห็นก็รู้เลย พอพูดถึงนามธรรมก็รู้เลย สามารถที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้น และดับไปของนามธรรมได้ ของรูปธรรมได้ สำหรับผู้ที่ได้อบรมมาแล้วซึ่งตัวอย่างก็คือ พระอริยสาวกทั้งหลาย ซึ่งท่านก็กล่าว ว่าเมื่อแสนกัปป์มาแล้ว ท่านเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้วก็ได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นของเราไม่ต้องเกี่ยวกับวัน เดือน ปี หรือจำนวนเลย แต่ละขณะที่ได้ฟัง แล้วเข้าใจ นั่นคือประโยชน์สูงสุดของการที่รู้ว่า นี่คือสิ่งซึ่งคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะบอกเราได้นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นสำหรับ ปรมัตถธรรม ๔ “จิต” เป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งสิ่งที่ถูกรู้ ใช้คำว่า “อารมณ์” ในภาษาไทย มาจากบาลีว่า “อารัมมณะ” หรือ “อาลัมพน” เพราะฉะนั้นเมื่อมีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ จะไม่มีสิ่งที่ถูกรู้คืออารมณ์ไม่ได้เลย ไม่มีจิตสักขณะเดียวซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่รู้อารมณ์ หรือว่าไม่มีอารมณ์ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงอารมณ์ก็หมายความถึงสิ่งที่จิตกำลังรู้ ต้องกำลังรู้ในขณะที่จิตเกิด สิ่งที่จิตกำลังรู้เป็นอารมณ์
ขณะนี้มีรูปเยอะแยะ แต่ว่ารูปใดก็ตามที่เกิด แต่จิตไม่ได้รู้รูปนั้น รูปนั้นก็เป็นรูปแต่ไม่ใช่อารมณ์ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่มีจิตที่กำลังรู้รูปนั้น เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ที่สามารถจะรู้ได้ทุกอย่าง จิตรู้รูปก็ได้ จิตรู้นิพพานได้ไหม ได้ เพราะถ้าจิตรู้นิพพานไม่ได้ ไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่รู้ได้สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ซึ่งจะต้องมีความรู้เรื่องของสภาพธรรมในขณะนี้ จนกระทั่งเป็นความชำนาญ จนกระทั่งเป็นการที่สามารถรู้แจ้ง หรือว่าประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับ
เพราะฉะนั้นสำหรับนิพพานก็เหมือนทุกครั้ง คือไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึงสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นรูปธรรม ๑ และนามธรรม ๒ คือ จิต และเจตสิก
ที่มา ...