ตราบใดที่จิตเกิด จะต้องมีเวทนาเจตสิก


    ผู้ฟัง อย่างที่กล่าวว่าเสียงปรากฏก็ต้องมีสภาพรู้เสียง เสียงก็คือรูปขันธ์ สภาพรู้ก็คือวิญญาณขันธ์ แสดงว่าเขาก็ต้องเกิดคู่กันอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ จิตรู้ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นขณะใดที่จิตเกิด ต้องมีอารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ ในภูมิที่มีขันธ์๕ ก็มีสมุฏฐานที่ให้รูปเกิด แต่จะเป็นอารมณ์ หรือไม่เป็นอารมณ์ เช่น เสียงในป่า ก็มีสมุฏฐานให้เกิด แต่ถ้าจิตไม่ได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นก็เกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นเสียงนั้นมีจริง เกิดแล้วดับไป แต่ขณะใดจิตไม่ได้รู้เสียงนั้น เสียงนั้นไม่ใช่อารมณ์ของจิต

    อย่างความรู้สึกทุกคนก็มี เพียงแต่ให้รู้ว่าเป็นธรรม แต่ก่อนนั้นเป็นเราทุกข์มากเลย แล้วก็เราเป็นสุขมากเลย ใช่ไหม หรือไม่ก็เฉยๆ แต่ความจริงลักษณะสุข ลักษณะทุกข์ ลักษณะเฉยๆ ที่มีจริงเป็นธรรม เป็นนามธรรม เรายังไม่ไปพูดถึงว่าจะรู้ไม่รู้อะไรเลย แต่มีจริงๆ ก็ให้รู้ก่อนว่า สิ่งที่มีจริงจะต้องเป็น ๑ ใน ๔ ซึ่งเป็นปรมัตถ์ แต่ปรมัตถ์ที่พ้นไปจากโลก ไม่ใช่ชีวิตประจำวันคือนิพพาน ไม่กล่าวถึง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็น ๑ ใน ๓ คือเป็นจิต เป็นเจตสิก หรือเป็นรูป

    เพราะฉะนั้นมีไหม เวทนา ใครไม่มีบ้าง เวทนาไม่ได้แปลว่าสงสารมากๆ แต่หมายความถึงความรู้สึก ที่ต้องมีทุกขณะจิต ตราบใดที่มีจิตก็จะต้องมีเวทนาเจตสิก ก็เป็นขันธ์หนึ่ง และก็เจตสิกที่เหลือทั้งหมด ๕๐ เป็นสังขารขันธ์ ถ้าจำแนกปรมัตถ์ธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕ รูปทุกรูปเป็นรูปขันธ์ จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เวทนาเจตสิก๑ เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิก๑ เป็นสัญญาขันธ์ เจตสิกที่เหลือเป็นสังขารขันธ์


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 10


    หมายเลข 5139
    5 ก.ย. 2567