ลักษณะของชีวิตตินทริยเจตสิกและชีวิตินทริยรูป


    ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ที่จะกล่าวถึงเจตสิก เพราะว่าขณะนี้อย่างจิตเราก็พอจะเข้าใจ แต่ให้ทราบว่าเป็นปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง เป็นจิตประเภทหนึ่ง จิตไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ อย่างไร รู้อารมณ์อะไร ในรูปพรหม อรูปพรหมอย่างไร ก็คือจิต และเจตสิกก็เป็นสภาพปรมัตถธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดด้วยกัน แยกกันไม่ได้เลย แล้วแต่ว่าจิตหนึ่งขณะจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดของจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ซึ่งเมื่อกี้มีคำถามเรื่อง ชีวิตินทริยเจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ

    จิตไม่ใช่ก้อนกรวด เป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้นสภาพรู้หรือธาตุรู้ก็เป็นนามธรรม ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่ามีชีวิตถ้าปราศจากจิตก็ตาย ไม่มีชีวิต แต่ถ้าเราจะพูดถึงจิต ลักษณะที่จะทำให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เพราะเหตุว่ามีจิต แต่ถึงกระนั้นก็จะต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือ ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกขณะที่ทำหน้าที่หรือกิจของเจตสิกนี้ ก็คืออนุบาลรักษานามธรรมที่เกิดร่วมกันทั้งหมด ทั้งจิต และเจตสิกให้ดำรงอยู่ชั่วขณะที่ยังไม่ดับไป

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงสภาพธรรมที่เรามองไม่เห็นเลย จิตนี่เรามองไม่เห็นเลย เจตสิกเราก็มองไม่เห็นเลย แต่แม้กระนั้นผู้มีพระภาคผู้ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริงก็ทรงแสดงว่า ขณะที่จิตเกิด ไม่ใช่มีแต่เวทนาเจตสิกซึ่งรู้สึกในอารมณ์นั้นเกิดร่วมด้วย ไม่ใช่มีแต่สัญญาเจตสิกซึ่งจำในอารมณ์ คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ ไม่ใช่มีแต่เจตสิกอื่นๆ ซึ่งยังไม่ค่อยกล่าวถึง รวมทั้งชีวิตินทริยเจตสิกด้วย แสดงให้เห็นถึงสภาพที่ทรงชีวิต หรือมีชีวิต เพราะแม้นามธรรมก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตด้วยชีวิตินทริยเจตสิก ซึ่งดำรงอนุบาลรักษาให้จิตนั้นดำรงอยู่ชั่วขณะที่ยังไม่ดับไป นี่คือลักษณะของ ชีวิตินทริยเจตสิก ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ

    สำหรับรูป เฉพาะรูปซึ่งเกิดจากกรรมเท่านั้นที่มีชีวิตินทริยรูป เพราะฉะนั้นคำว่า ชีวิต จะเห็นได้ว่าทำให้สภาพธรรมต่างกันระหว่างสิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต แม้นามธรรมก็ต้องเป็นสภาพที่ทรงชีวิต ไม่ใช่ไม่มีชีวิตแล้วจะเป็นนามธรรมได้ แม้รูปธรรมบางรูปก็เป็นสภาพที่ทรงชีวิต เพราะฉะนั้นเวลาที่กัมมชรูปไม่เกิด เวลาที่จุติจิตดับ กัมมชรูปดับพร้อมกับจุติจิต รูปที่มีอยู่ซึ่งเคยเป็นคนนั้นที่เรารู้จัก แม้เพียงชั่วขณะจิตเดียว ดูความรวดเร็วของจิต จิตเกิด และดับเร็วมาก แต่ทันทีที่จุติจิตดับ ซึ่งก่อนจุติจิตก็จะมีจิตเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่จุติ เพราะว่าจุติต้องเป็นจิตขณะสุดท้ายของชาติหนึ่ง ที่ทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง จะเป็นบุคคลนั้นต่อไปอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเพียงชั่วจิตนี้ดับ รูปนั้นเป็นรูปที่ปราศจากชีวิต รูปทุกรูปนั้นไม่มีชีวิตินทริยรูปเลย แต่ว่าในความทรงจำของเราซึ่งไม่ละเอียด เราก็ยังมองเห็นว่าคนที่ตาย บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาตายเมื่อไหร่ เพราะว่าจิตเกิดดับเร็วมาก และรูปก็ยังไม่ทันแข็ง ยังไม่ทันเปลี่ยนสภาพ เพราะฉะนั้นด้วยความทรงจำ เราไม่สามารถจะทรงจำถึงขณะนั้นได้ ขณะที่พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นแล้ว รูปนั้นไม่มีชีวิตเพราะไม่มีชีวิตินทริยรูปเกิดอีกเลย

    นี่ก็เป็นความละเอียดที่จะแสดงให้เห็นว่า ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะชีวิตินทริยรูป ทำให้รูปเป็นรูปที่ทรงชีวิต หรือมีชีวิต หรือดำรงชีวิต แต่ความจริงในกลาปหรือในกลุ่มของรูปแต่ละกลุ่มที่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก และต้องเป็นกลุ่มของกัมมชรูป คือรูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานด้วย ด้วยเหตุนี้ หุ่นหญิงหุ่นชาย ตุ๊กตาต่างๆ มีชีวิตินทริยรูปไหม ไม่มี ตาก็เหมือนกัน รูปวาดบางรูปเหมือนรูปที่มีชีวิตมาก แต่ก็ไม่มีชีวิตินทริยรูป เพราะเหตุว่าไม่ใช่รูปที่ทรงชีวิต ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม

    เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเรื่องของสภาวธรรมอย่างละเอียด ทั้งนามธรรม และรูปธรรมที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีสิ่งนี้เกิดขึ้นผลก็คือว่าจะมีสัญญาความทรงจำที่หลากหลายในสิ่งที่มีชีวิต ไม่มีชีวิต แต่ว่าลักษณะจริงๆ ของสภาวธรรมแต่ละอย่าง ถ้าเป็นชีวิตินทริยที่เป็นเจตสิก ก็อนุบาลรักษาสหชาตธรรม ธรรมที่เกิดร่วมกันที่เป็นนามธรรมทั้งจิต และเจตสิกให้ดำรงอยู่ชั่วขณะที่ยังไม่ดับไป และถ้าสำหรับเป็นรูปก็มีชีวิตินทริยรูป ซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรม ทำให้รูปนั้นต่างจากรูปอื่น เช่นหุ่นต่างๆ ก็เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน ไม่ได้เกิดจากกรรมเป็นสมุฎฐาน ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าไม่มีชีวิตินทริยรูป

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 11


    หมายเลข 5198
    16 ม.ค. 2567