ไม่รู้ความจริงทั้งขณะที่เป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา


    ผู้ฟัง ถ้าผมไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรมทั้งหมด ก็เป็นอกุศลตลอดที่ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลย หรือ

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศลก็ไม่รู้ เป็นอกุศลก็ไม่รู้ เป็นวิบากก็ไม่รู้ เป็นกิริยาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะนี้มีทั้งกุศล อกุศล วิบาก และกิริยา ทีละขณะก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราไปสรุปเราเองไม่ได้ว่าเป็นอกุศลทั้งหมด เพราะเหตุว่าไม่รู้จริงๆ แต่ไม่รู้ในขณะที่เป็นกุศล ไม่รู้ในขณะที่เป็นอกุศล ไม่รู้ในขณะที่เป็นวิบาก ไม่รู้ในขณะที่เป็นกิริยา เพราะว่ายังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ เพียงแต่ขณะนี้มีสภาพธรรมให้เริ่มเห็นตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น เตือนอยู่ตลอดเวลาว่า "เป็นธรรม" แต่ละลักษณะเป็นธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมก่อน และก็กำลังให้เข้าใจนามธรรม และรูปธรรมว่า รูปธรรมเป็นรูปขันธ์ และนามธรรมมี ๒ ประเภท คือ จิต และเจตสิก จิตเป็นวิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้นมีเจตสิก ๕๒ ประเภท ซึ่งเจตสิก ๑ ประเภทเป็นเวทนาขันธ์ ได้แก่เวทนาเจตสิก สภาพที่รู้สึกไม่ใช่จิตแต่เป็นเจตสิก ไม่ว่าจะรู้สึกดีใจ เสียใจ ก็เป็นเจตสิกนี้แหล่ะที่รู้สึก ก็แล้วแต่ว่าจะรู้สึกอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่การแปลง แต่หมายความว่ามีปัจจัยที่ความรู้สึกชนิดนั้นจะเกิด เกิดแล้วดับ แปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้เพราะเป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้น การเข้าใจคำ และการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมต้องตรงตลอดเวลาว่าเมื่อเป็นสังขารธรรม ขณะที่เกิดปรุงแต่งแล้วเกิดเป็นสังขตธรรม เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ถ้าเป็นสุขเวทนาก็คือสุขเวทนา แปลงไม่ได้ ดับไป พอมีปัจจัยที่ทุกขเวทนาจะเกิด ทุกขเวทนาก็เกิดแล้วก็ดับไป

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 13


    หมายเลข 5226
    16 ม.ค. 2567