ถ้าระลึกได้ในความเป็นอสุภะก็จะไม่ติด
บรรพต่อไป ก็เป็นเรื่องของอสุภะเช่นเดียวกัน สำหรับอสุภะทั้งหมดมีด้วยกัน ๙ บรรพ ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง หมู่สัตว์ตัวเล็กๆ ต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกาย ในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายทั้งภายใน และภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่
อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้จะเป็นอย่างไร สีสวยจริง รูปสวยจริง มีความยินดีพอใจเกิดขึ้น แต่ถ้าระลึกได้ก็ไม่ติด สติสามารถที่จะเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ จึงควรระลึกเนืองๆ ถึงความเป็นอสุภะ ความเป็นซากศพ
เวลานี้เหมือนกับทุกคนยังไม่เป็นอย่างนั้นเลย แต่ว่า อีกร้อยปีผ่านไป กระดูกทุกชิ้นที่อยู่ที่นี่ ก็เหมือนกับป่าช้าแห่งหนึ่ง เวลานี้ยังไม่เป็น มีมนุษย์ มีชีวิต อยู่กันเยอะแยะทีเดียว พูดคุย ยิ้มแย้มกัน สนุกสนานรื่นเริง แต่อีกร้อยปีจะเหลืออะไร เนื้อเหลือไหม ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะปรากฏความเป็นอสุภะ ถ้าคิดอย่างนี้ ในขณะนี้ ถึงเห็นมีเนื้อมีหนัง ก็เหมือนกับกระดูก ระลึกได้ไหมอย่างนี้