สมณพราหมณสูตรที่ ๓
ขอกล่าวถึง สมณพราหมณสูตรที่ ๓ ซึ่งมีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์บางพวกย่อมไม่ทราบชัด ซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ ย่อมไม่ทราบชัดซึ่งอาโปธาตุ ... ซึ่งเตโชธาตุ ... ซึ่งวาโยธาตุ เหตุเกิดแห่งวาโยธาตุ ความดับแห่งวาโยธาตุ ปฏิปทา เครื่องให้ถึงความดับแห่งวาโยธาตุ สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่ได้รับสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ไม่ได้รับสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้น ย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์บางพวกย่อมทราบชัด ซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ ย่อมทราบชัด ซึ่งอาโปธาตุ ... ซึ่งเตโชธาตุ ... ซึ่งวาโยธาตุ เหตุเกิดแห่งวาโยธาตุ ความดับแห่งวาโยธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งวาโยธาตุ สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมได้รับสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ได้รับสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดังนี้ ฯ
ดูเหมือนเรื่องคนอื่นใช่ไหม สมณะ กับ พราหมณ์ แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นเรื่องของท่านผู้ฟังเอง ที่กำลังจะเจริญสติปัฏฐาน หรือที่กำลังเจริญสติปัฏฐาน คำว่า สมณะ หมายความถึง ความเป็นผู้สงบ หรือผู้สงบ หรือธรรมของผู้สงบ คำว่า พราหมณ์ หมายถึง ผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เป็นสมณะ เป็นพรามหณ์ โดยความหมายที่ว่า กำลังเจริญข้อประพฤติปฏิบัติของผู้สงบ ผู้ดำเนินไปสู่ความสงบจากกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ประเสริฐ คือ ผู้ที่ดำเนินไปสู่ความสงบจากราคะโทสะ โมหะ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็สมณะหรือพราหมณ์บางพวกย่อมไม่ทราบชัด ซึ่งปฐวีธาตุ เหตุเกิดแห่งปฐวีธาตุ ความดับแห่งปฐวีธาตุ ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งปฐวีธาตุ แล้วก็ธาตุอื่นๆ อาโป เตโช วาโย สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่ได้รับสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ ไม่ได้รับสมมติว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้น ย่อมไม่กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์แห่งความเป็นสมณะ หรือประโยชน์แห่งความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ฯ
ไม่มีผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน แล้วไม่รู้ลักษณะของธาตุที่ปรากฏที่กาย เพราะอะไร สิ่งนั้นปรากฏ แล้วก็เป็นผู้เจริญสติ เพื่อให้ปัญญารู้ชัด ถ้าไม่รู้ชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วปัญญาจะรู้อะไร รู้อะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้ที่รู้ชัดในปฐวีธาตุแล้วหรือยัง ถ้าไม่รู้ซึ่งความเกิด ซึ่งความดับ ซึ่งข้อปฏิบัติให้รู้ชัดในความเกิดความดับแล้ว จะไม่ใช่สมณะในหมู่สมณะ ไม่ใช่พราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ ไม่มีปัญญาที่จะละคลายกิเลสได้ ข้ามไม่ได้ อย่าไปหลงแสวงหาสิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏ ด้วยความเข้าใจผิด แล้วละเลยที่จะพิจารณาแล้วรู้ชัดสิ่งที่กำลังปรากฎ นี่เป็นพระดำรัสโดยตรงจากพระไตรปิฏก ซึ่งจะมีท่านใดไม่เห็นด้วย คัดค้าน ไม่ให้รู้ที่แข็ง ที่อ่อน ที่ร้อน ที่เย็น ที่ตึง ที่ไหว