พระธรรมอุปการะให้มีความเห็นถูก
สำหรับเรื่องธาตุทั้ง ๔ มีอยู่ตลอดเวลา ทั้งภายใน ทั้งภายนอก แต่ว่า การที่จะละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตนนั้น ก็แสนที่จะยาก และไม่ได้ยากแต่เฉพาะบุคคลในครั้งนี้ แม้บุคคลในครั้งพุทธกาล ก็เช่นเดียวกัน สัตวโลกในสมัยนี้ฉันใด ในครั้งพุทธกาลก็ฉันนั้น ไม่ต่างกัน คนในสมัยนี้ มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะ มีความเห็นผิดยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน ฉันใด คนในครั้งโน้นก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ ก็อุปการะให้ท่านที่กำลังเจริญสติ ได้มีความเห็นถูก แล้วละคลายความยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุว่า ถึงแม้ว่า สติจะระลึกรู้ลักษณะของนาม ของรูป ก็ไม่ใช่ว่าจะละคลายได้โดยง่าย ผู้ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูนั้นมีน้อย (คือ ผู้ที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที) ผู้เป็นวิปัญจิตัญญูนั้นมีน้อย (คือ ผู้ที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม และได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมจะสามารถรู้ และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป) ส่วนผู้ที่เป็นเนยยบุคคลนั้น (คือ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตาม และได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้ และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง) ก็ต้องเจริญสติปัฏฐานมาก ระลึกรู้นามรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะชิน จนกว่าจะคลาย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะละคลายได้โดยรวดเร็ว ถ้าผู้นั้นไม่ได้สะสมอบรมอินทรีย์มาแก่กล้า