มหาราหุลโลวาทสูตร
ถึงแม้ท่านพระราหุล ก็คงจะได้ทราบ ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมกับท่านพระราหุล ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภาค ๑ มหาราหุโลวาทสูตร ณ พระวิหารเชตวัน
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตรในนครสาวัตถี มีท่านพระราหุลเป็นปัจฉาสมณะ ตามหลังพระผู้มีพระภาคไป พระผู้มีพระภาคได้ทรงโอวาทท่านพระราหุล ซึ่งก็ทำให้ท่านกลับไป เพราะเห็นว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสโอวาทแก่ท่านแล้ว ท่านก็ควรที่จะเจริญสมณธรรม เมื่อท่านกลับจากที่นั้นแล้ว ก็นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง. ท่านพระสารีบุตรได้เห็นท่านพระราหุลผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง แล้วบอกกะท่านพระราหุลว่า ดูกรราหุล ท่านจงเจริญอานาปานสติเถิด ด้วยว่า อานาปานสติภาวนาที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระราหุลออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์?
เวลาที่อ่านพระสูตรหรือศึกษาพระสูตร ตอนแรกๆ ก็อาจจะข้ามพยัญชนะ ไม่ค่อยได้คิดถึงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดบุคคลจึงกล่าวกะบุคคลนั้นว่าอย่างนั้น แต่ถ้าอ่านซ้ำหลายๆ ครั้ง ก็อาจจะได้ความแจ่มแจ้งถึงเหตุถึงผลได้ แล้วก็เข้าใจได้โดยตลอดว่า เพราะเหตุใด ท่านพระสารีบุตรจึงได้กล่าวกะท่านพระราหุลอย่างนั้น แต่ว่า เวลาที่พระราหุลออกจาที่เร้นแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค และได้ทูลถามว่า อานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์?
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ท่านพระราหุลเจริญอานาปานสติภาวนา ตลอดเวลาเหล่านั้นใช่ไหม พระผู้มีพระภาคทรงแสดงลักษณะของรูป ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ท่านพระราหุล
ท่านก็บรรพชาอุปสมบท เจริญสติปัฏฐาน เป็นเวลานานไม่ใช่เป็นเวลาเพียงนิดหน่อย ท่านพระภิกษุในครั้งโน้นท่านมีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เจริญสติปัฏฐานกันวันแล้ววันเล่า แต่ว่าการที่จะละคลายการยึดถือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นนก็เป็นสิ่งที่ยาก และก็เป็นสิ่งที่ต้องเจริญเป็นเวลานาน ไม่ใช่เพียงชั่วเวลานิดหน่อย ก็จะมีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดกันได้อย่างที่หวัง หรืออย่างที่คิดเอาไว้ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงลักษณะของรูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ยังต้องแสดงกับท่านพระราหุลด้วย เรื่องที่ทรงแสดงก็ไม่พ้นไปจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ถึงแม้ว่าจะระลึกลักษณะของนามทางตา รูปทางตา นามทั้งหู รูปทางหู ทำจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ยังไม่คลาย ยังไม่ละ ปัญญายังไม่เพิ่มสมบูรณ์ขึ้นถึงขั้นที่จะหมดสิ้นอาสวะกิเลสก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยพระธรรมเทศนา ซึ่งบรรดาท่านพระภิกษุเหล่านั้น ท่านก็ไปเฝ้าไปฟังธรรมเป็นปกติ และพระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นชีวิตจริงๆ ตามปกติ ไม่ได้ให้กั้นไว้หรือไม่ได้ให้ยับยั้ง ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ที่ผิดปกติเลย