จุดประสงค์ในการเจริญสติปัฏฐานเพื่อปัญญารู้ชัดในโลก
ท่านอาจารย์ แม้แต่พยัญชนะที่ว่า ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจ และไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุปัจจัย
ผู้ฟัง เมื่ออาจารย์อธิบายมาถึงตอนนี้ ก็จะเอาเรื่องของสำนักหนึ่ง ได้สอนปฏิบัติตอนหนึ่งว่า ให้เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะปรากฏได้ชัด และผู้ที่เป็นเนยยะบุคคลอย่างพวกเราสมัยนี้ ควรอย่างยิ่ง ส่วนเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานจะเจริญไม่ได้ เพราะเป็นของผู้ที่ฉลาด ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่า จะตั้งอยู่ในฐานของอภิชชา และโทมนัส เพราะเวทนานี้ถ้าเราเจริญสติปัฏฐานก็จะพบอิฏฐารมณ์บ้าง อนิฏฐารมณ์บ้าง คำว่าพบอิฏฐารมณ์ จิตใจยังโง่เป็นเนยยะบุคคล ก็ไม่สามารถที่จะเจริญวิปัสสนาให้เป็นไปได้ เกิดนิมิตรเป็นไปทางโลภะก็ดี โทสะก็ดี ไม่ตรงกับวิปัสสนาที่ว่า จะต้องให้เป็นไปทางที่ไม่มีอภิชชา และโทมนัส นี่เป็นข้อความตอนหนึ่งของสำนักวิปัสสนามีชื่อแห่งหนึ่ง จึงเรียนมาขอแจ้งให้สาธุชน ได้ฟังเทียบ ก็เห็นจะมีประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ท่านอาจารย์ จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐานเพื่อปัญญารู้ชัด ไม่ใช่เพื่อไม่รู้ ไม่รู้นู่นไม่รู้นี่ไม่รู้นั่น นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน พระโสดาบันในอดีต มีปัญญารู้ชั้นในโลก ๖ โลก ตามความเป็นจริงอย่างไร ในนาม และรูปทั้งปวง ไม่ยึดถือว่าเป็นตัวตนอย่างไร พระโสดาบันในสมัยนี้ หรือว่าในกาลต่อไปข้างหน้า ก็ต้องรู้อย่างนั้น รู้แจ้งอริยสัจจ์เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ไม่รู้ มีไหมในพระไตรปิฎกที่บอกว่าไม่ให้รู้ แล้วดีไหมเจริญความไม่รู้ เวทนาความรู้สึกมีไหม มี เป็นตัวตนทุกขณะที่ไม่ระลึกรู้ ใช่ไหม แล้วเมื่อไหร่จะรักกันสักที ถ้าไม่รู้ แต่จะตรวจสอบได้ว่า ข้อความใดที่ไม่ใช่เหตุผลจะไม่ปรากฏมีในพระไตรปิฎก ที่จะไม่ให้รู้เวทนานั้น ไม่มี และในตอนต้นในสูตรทั้งหลายที่ได้กล่าวถึงเรื่องธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็มีเรื่องของการรู้ชัดในความแช่มชื่นของปฐวีธาตุ หมายความถึงนามหรือรูป ความแช่มชื่น สุขโสมนัสที่เกิดจากปฐวีธาตุดิน ก็ต้องรู้ชัด ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่ให้รู้แต่เฉพาะลักษณะที่แข็งอย่างเดียวแล้วก็จะเป็นพระอริยเจ้า การที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้ ปัญญาต้องรู้ชัดแล้วละคลายความไม่รู้ ความสงสัย ความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปเป็นตัวตนได้หมดสิ้น ถ้าปกติในชีวิตประจำวัน ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปที่เป็นตัวของท่านจริงๆ เลย เมื่อไหร่จะรู้ได้ ของจริงหรือเปล่าทุกวันๆ นี้ แล้วไม่รู้ไปเรื่อยๆ หนีแล้วเมื่อไหร่จะละได้