ไปที่ไหนก็เป็นผู้มีปรกติเจริญสติ
ท่านอาจารย์ ไปสำนัก ไปทำไม เวลานี้ไม่มีรูปนามหรือ ทำไมไม่ระลึก
ผู้ฟัง ที่สำนักเขามีคนคุม
ท่านอาจารย์ คุมไม่ให้เป็นบ้า ก็เดี๋ยวนี้เป็นปกติทำไมจะต้องไปทำให้เป็นบ้า ขอประทานโทษ มีปรากฏในพระไตรปิฎกไหม ถ้าไม่มีก็ไม่ควรจะสนใจ ใครจะเป็นยังไงก็เป็นเรื่องของนอกพระไตรปิฎก บุคคลในครั้งหนอนจะไปที่ไหน ก็เป็นผู้มีปกติเจริญสติ ไม่ใช่ห้ามการไป ไปวัด ไปธุระ ไปที่ไหนก็ตาม เกิดมาแล้วไม่ไปไม่มี ไป แต่เป็นผู้มีปกติเจริญสติ ไม่ใช่เป็นผู้เข้าใจผิด คิดว่าการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้นอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ชีวิตปกติชีวิตประจำวัน หรือแจ้งอริยสัจจะทำไม่ได้ บุคคลในครั้งโน้นไม่ได้เข้าใจผิดอย่างนี้ เพราะเหตุว่าบางท่านกล่าวอีกว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็เจริญได้แต่ไม่ได้ผล ลืมไปว่า ผลของการเจริญสติปัฏฐานนั้นคืออะไร การที่ปัญญารู้ลักษณะของนาม และรูป แต่ละขณะ แต่ละอย่าง ตามปกติ จนกระทั่งชินขึ้น มากขึ้น คมกล้าขึ้น นั่นเป็นปัญญาใช่ไหม เป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานใช่ไหม ชื่อว่าได้ผลไหม ถ้าขนาดนี้สติของใครจะระลึกรู้ลักษณะงามหรือรูป ทางตา หรือทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่สติ จะระลึกบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ปัญญารู้ชัดขึ้น คมกล้าขึ้น ละได้ เป็นอนัตตา ไม่มีใคร สามารถจะกฏเกณฑ์ได้ว่า จะต้องบรรลุมรรคผล อินทรีย์แก่กล้า ที่นั่นที่นี่ ซึ่งไม่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่าจะต้องเป็นที่นั่นหรือที่นี่ เพราะฉะนั้นแม้แต่ผลของการเจริญสติปัฏฐาน บุคคลที่กล่าวเช่นนั้นก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าผลของการเจริญสติปัฏฐานทุกขณะจิตที่สติดูลักษณะของนาม และรูปชัดเจนขึ้น เพิ่มขึ้น มากขึ้น ผลของการเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็ความเป็นอนัตตาของสติ ความเป็นอนัตตาของญาณแต่ละขั้น ความเป็นอนัตตาของอินทรีย์ที่แก่กล้า ไม่เคยมีจำกัดว่าเฉพาะที่นั่นหรือที่นี่
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงเป็นเรื่องที่ต้องใคร่ครวญ พิจารณา แล้วก็ให้ทราบจริงๆ ว่าผลของการเจริญสติปัฏฐาน คือเมื่อไหร่ ขณะไหน ถ้าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเชื่อว่าเป็นผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ไหม แม้แต่รูปที่ท่านไปเพียรรู้กัน ตรงตามรูปที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกไหม รูปที่กล่าวว่าอย่ารู้นั้น มีอยู่ในพระไตรปิฎกว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้เพราะเป็นสิ่งที่ปรากฏ ใช่ไหม