ทุกสิ่งที่เป็นจริงไม่ควรให้ผ่านไปด้วยโลภะโทสะโมหะ


    ข้อความต่อไปมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นกระดูกกองเรี่ยรายอยู่แล้วเกิน ๑ ปีขึ้นไป เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้

    ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกาย ในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่

    อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

    อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่

    ถึงกระดูกที่เกิน ๑ ปี ก็ยังเป็นเครื่องให้สติระลึกได้ ทุกอย่างที่เป็นของจริง ไม่ควรที่จะให้ผ่านไปด้วยโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยให้โลภะเกิด โทสะเกิด โมหะเกิด แต่ก็ให้อบรมสติให้เกิดขึ้น รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏนั้นด้วย มิฉะนั้นแล้ววันหนึ่งๆ ก็จะมีแต่โลภะ โทสะ โมหะ


    หมายเลข 5301
    2 ส.ค. 2567