ถึงที่สุดแล้วกายนี้ก็จะเป็นเพียงกระดูกที่ผุจนเป็นผง
ประการสุดท้ายมีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุเหมือนกะว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ เป็นกระดูกผุเป็นจุลแล้ว เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่าก็มีเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ ดังพรรณนามาฉะนี้
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกาย ในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกาย ในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่
อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
จบนวสีวถิกาบรรพ
จบกายานุปัสสนา
ถึงที่สุดของกาย โดยเป็นกระดูกที่ผุจนเป็นผง ไม่เหลืออีกแล้ว ส่วนที่เคยยึดถือตั้งแต่เกิดมา ไม่ว่าจะเป็นขน ผม เล็บ ฟัน หนัง ร่างกายส่วนต่างๆ แต่ว่าถึงที่สุดก็โดยการที่เป็นกระดูกผุจนป่น อีกสัก ๕๐๐ ปี หรือ ๑,๐๐๐ ปี ๒,๐๐๐ปี ก็คงจะมีกระดูกผุมากมาย ส่วนของแต่ละท่านที่อยู่ที่นี่ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่เวลาที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น ก็ระลึกทั้งๆ ที่กำลังนั่ง กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนอน ก็เหมือนซากศพที่พูดได้ เดินได้ ไม่ได้ผิดกันเลย มีความเป็นอสุภะจริงๆ แต่ว่าถูกปกปิดหรือว่าหุ้มห่อไว้มิดชิด ก็ไม่ปรากฏความเป็นอสุภะ จนกว่าจะประจักษ์หรือได้ประสบกับอสุภะในลักษณะต่างๆ ที่จะทำให้สติเกิดระลึกได้